นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงรายงาน World Economic Outlook ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund หรือ IMF) ประจำเดือน ก.ค.65 ที่คาดการณ์เศรษฐกิจโลกจะเติบโตที่ 3.2% ในปี 65 ทั้งนี้ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ และพื้นที่เศรษฐกิจหลักในยุโรปยังกระตุ้นให้เกิดความตรึงเครียดในภาวะการเงินโลกเป็นอย่างมาก เนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในจีนและรัสเซีย ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
ในรายงานของ IMF ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาได้คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยในปี 65 จะขยายตัว 2.8% ไม่เปลี่ยนแปลงจากรายงานเมื่อเดือน ก.ค. เนื่องจากสงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อทำให้อุปสงค์ในประเทศชะลอตัว เหตุราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการภายนอกที่ลดลง
พร้อมทั้งคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 66 ที่จะขยายตัวประมาณ 4% ด้วย และในรายงานของ IMF ยังระบุอีกว่าเศรษฐกิจไทยซึ่งขยายตัว 1.5% ในปี 64 หลังจากติดลบ 6.2% ในปี 63 ได้รับแรงหนุนจากการตอบสนองเชิงนโยบายที่รวดเร็ว และการฟื้นตัวของภาคการส่งออก
ทั้งนี้ IMF ยังย้ำว่า แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยหลักๆ ขึ้นอยู่กับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมเตือนว่า ราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคของภาคเอกชน และอุปสงค์จากภายนอก
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีความท้าทายที่ต้องจับตา ไม่ว่าจะเป็น ภาวะการเงินโลกที่ตึงตัว การชะลอตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจจีน ท่ามกลางงบดุลของภาคเอกชนที่ขยายตัว ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก
ในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.3 % และ 3.8 % ในปี 65 และ 66 ตามลำดับ ตามแรงส่งของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ โดยภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดีกว่า จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความทั่วถึงมากขึ้น ทั้งในมิติของสาขาธุรกิจโดยเฉพาะภาคบริการ และในมิติของรายได้ที่เริ่มกระจายตัวดีขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงกว่าคาด ส่งผลต่อภาคการส่งออก แต่ไม่ได้กระทบแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม
ขณะที่ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ในบางสาขาธุรกิจที่ฟื้นตัวช้า และครัวเรือนรายได้น้อยบางกลุ่มที่ยังอ่อนไหวต่อค่าครองชีพ
ทั้งนี้ ยังควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ความสำคัญของการมีมาตรการเฉพาะจุด และแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง
พร้อมคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไปสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด-19 ภายในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการขับเคลื่อนทุกภาคส่วนให้สอดรับกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังปรับตัวดีขึ้น
ธปท.ยังได้นำเสนอปัจจัยที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะต้องดำเนินการ 3 ด้าน สำคัญ ได้แก่ 1.หนี้ครัวเรือน ต้องลดสู่ระดับยั่งยืน 2.ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยภาคการเงินควรช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน 3.โครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินดิจิทัล เร่งผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน Digital payment
นายอนุชา กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 ก.ย ที่ผ่านมา มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 1.00 % ต่อปี ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว ซึ่งสอดรับกับที่ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะโตขึ้นต่อเนืองในปีนี้ โดยจะฟื้นตัวจากกิจกรรมการท่องเที่ยว และการบริโภคของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนโดยรวมยังเอื้อต่อการระดมทุน
"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อม และดำเนินการตามนโยบาย เพื่อดูแลเศรษฐกิจภาพรวมให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ตลอดจนกำหนดมาตรการทางการเงินให้ครอบคลุมกับประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ทิ้งกลุ่มที่เปราะบาง เช่น มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) มาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน เป็นต้น ซึ่งผลจากการคาดการณ์ของ IMF และ ธปท. สะท้อนเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และมั่นคง อีกทั้งยังอยู่ในระดับที่สามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกได้เป็นอย่างดี" นายอนุชา กล่าว