นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึง ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 3 ปี 265 (เดือนก.ค.-ก.ย.) หดตัว 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 64 หลังจากขยายตัว ได้ดีในไตรมาส 1 และ 2 ที่ผ่านมา โดยขยายตัว 4.7% และ 4.4% ตามลำดับ
ทั้งนี้ เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน ประกอบกับปรากฏการณ์ลานีญาที่มีกำลังแรงขึ้น อิทธิพลของลมมรสุมและพายุที่เข้ามา หลายระลอก ขณะที่มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติสะสมอยู่มาก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียง เหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิตสินค้าเกษตร และผลผลิตบางส่วนได้รับความเสียหาย
อย่างไรก็ดี การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้กิจกรรมการผลิต การค้า การขนส่งสินค้า และการท่องเที่ยว กลับมาดำเนินการได้ตามปกติมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการสินค้าเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา ราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดยังอยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรขยายการเพาะปลูกเพิ่มขึ้นในบางพื้นที่ และดูแลเอาใจใส่ดีขึ้น นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายและมาตรการด้านการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต และการขยายช่องทางการตลาด ทำให้เกษตรกรสามารถทำการผลิต ได้อย่างต่อเนื่อง และมีช่องทางในการจำหน่ายมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 65 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.0-3.0% เมื่อเทียบกับปี 64 จากปัจจัยสนับสนุน ด้านสภาพอากาศโดยทั่วไปที่ยังคงเอื้ออำนวย ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและตามแหล่งน้ำธรรมชาติมีมากกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับความร่วม มือของภาคส่วนต่างๆ ในการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยีในการผลิต ยกระดับสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพมาตรฐาน บริหาร จัดการการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมถึงการเปิดประเทศ ทำให้มีการเดินทางและขนส่งสินค้าระหว่างประเทศได้มาก ขึ้น ส่งผลให้ความต้องการสินค้าเกษตร ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ปรากฏการณ์ลานีญาที่อาจจะต่อเนื่องไปถึงต้นปี 66 ต้นทุน การผลิตที่สูงขึ้นตามราคาปัจจัยการผลิตทั้งราคาน้ำมัน ปุ๋ยเคมี สารกำจัดศัตรูพืช และอาหารสัตว์ รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัส เซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว
น.ส.ทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการ สศก. กล่าวว่า สาขาพืช หดตัว 2.8% โดยพืชที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่
- มันสำปะหลัง เนื่องจากการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปปลูกอ้อยที่มีราคาดี และพื้นที่ที่มีการปลูกซ่อมใหม่บางส่วนหลังประสบอุทกภัยใน
- สับปะรดโรงงาน เนื่องจากเกษตรกรมีการบำรุงต้นสับปะรดเพื่อเร่งให้ผลผลิตออกในช่วงปลายปี 64 ถึงต้นปี 65
- ยางพารา ผลผลิตลดลง เนื่องจากมีฝนตกชุกต่อเนื่อง ทำให้จำนวนวันกรีดยางลดลง และยังมีการระบาดของโรคใบร่วง
- ทุเรียน และมังคุด ผลผลิตลดลง เนื่องจากสภาพอากาศทางภาคใต้ซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญในไตรมาสนี้ไม่เอื้ออำนวย มี
- เงาะ ผลผลิตลดลง เนื่องจากเกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปปลูกพืชอื่น เช่น ทุเรียน และปาล์มน้ำมัน รวมทั้งมีฝนตกชุกใน
ส่วนพืชที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่
- ข้าวนาปี โดยในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นฤดูที่ข้าวนาปีออกสู่ตลาด ซึ่งผลผลิตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วน
- ข้าวนาปรัง ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากแหล่งผลิตทางภาคใต้เป็นหลัก เนื่องจากปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นและเพียงพอ และเกษตรกรบาง
- ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 65 ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะ
- ปาล์มน้ำมัน ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นในแหล่งผลิตสำคัญ ทำให้ทะลาย
- ลำไย ผลผลิตเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีเนื้อที่ให้ผลเพิ่มขึ้น สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกผลของลำไย รวมถึงไม่มีโรคและ
สาขาปศุสัตว์ ขยายตัว 1.7% เป็นผลจากความต้องการบริโภคสินค้าปศุสัตว์ที่มีมากขึ้นหลังการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งเกษตรกรมีการจัดการฟาร์มที่ได้มาตรฐาน โดยสินค้าปศุสัตว์ที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่
- ไก่เนื้อ มีการขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องทั้งการบริโภคภายในประเทศและ
- โคเนื้อ ผลผลิตเพิ่มขึ้นเนื่องจากเกษตรกรมีการควบคุมและป้องกันโรคระบาดอย่างเข้มงวด ภาครัฐมีการบริหารจัดการ
ส่วนสินค้าปศุสัตว์ที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่
- สุกร เนื่องจากปริมาณแม่พันธุ์สุกรในระบบลดลง จากความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร
- ไข่ไก่ ผลผลิตลดลงเนื่องจากการดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ โดยการปรับลดจำนวนแม่ไก่ยืนกรง
- น้ำนมดิบ ผลผลิตลดลง เนื่องจากแม่โคนมมีอัตราการให้น้ำนมดิบลดลงจากการระบาดของโรคลัมปีสกินในโคนม รวมไปถึง
สาขาประมง หดตัว 1.5% โดยสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือในภาคใต้ลดลง เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน มีมรสุมเข้ามา อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้มีการออกเรือจับสัตว์น้ำลดลง โดยสัตว์น้ำที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่
- กุ้งทะเลเพาะเลี้ยง ลดลงเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ผู้เลี้ยงกุ้งประสบปัญหาโรคกุ้ง เช่น โรคตัว
ส่วนสัตว์น้ำที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่
- ปลานิล และปลาดุก มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเลี้ยงจากปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าปีที่ผ่านมา และ
สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัว 2.9% โดยกิจกรรมการเตรียมดินและการเก็บเกี่ยวข้าว และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่ม ขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยและปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสม ประกอบกับราคาข้าวอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้เกษตรกรมีการขยายพื้นที่เพาะ ปลูกในพื้นที่ว่างเพิ่มขึ้น และราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 65 ทำให้เกษตรกรเร่งขยายพื้นที่เพาะปลูก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่น 1 หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่น 2 รวมทั้งมีการดูแลและบำรุงรักษามากขึ้น ส่งผลให้มีพื้นที่เก็บเกี่ยวผลผลิต เพิ่มขึ้น
สาขาป่าไม้ ขยายตัว 1.8% โดยผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ได้แก่
- ไม้ยูคาลิปตัส เพิ่มขึ้นตามความต้องการของอุตสาหกรรมการผลิตเยื่อกระดาษ และการส่งออกไปยังจีน ลาว และญี่ปุ่น
- ถ่านไม้ มีความต้องการใช้ของธุรกิจภาคบริการเพิ่มขึ้น รวมทั้งความต้องการตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งจีน ญี่ปุ่น และ
- ครั่ง มีการส่งออกไปอินเดียเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปแปรรูปในอุตสาหกรรมต่างๆ
- รังนก มีความต้องการจากประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง
ส่วนผลผลิตที่ลดลง ได้แก่
- ผลผลิตไม้ยางพารา ลดลงตามพื้นที่การตัดโค่นสวนยางพาราเก่าเพื่อปลูกทดแทนด้วยยางพาราพันธุ์ดีและพืชอื่นและการส่ง
ออกไปยังจีนที่ลดลง
อัตราการเติบโตของภาคเกษตร สาขา ไตรมาส 3/65 (ก.ค.?ก.ย. 65) - ภาคเกษตร -1.8% - พืช -2.8% - ปศุสัตว์ 1.7% - ประมง -1.5% - บริการทางการเกษตร 2.9% - ป่าไม้ 1.8%