นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)วันที่ 9 เม.ย.เพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะให้น้ำหนักกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก พร้อมกันนั้นจะมีการทบทวนประมาณการปัจจัยทางเศรษฐกิจในปีนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้จะยังอยู่ในกรอบที่ได้คาดการณ์ไว้เดิมที่ 2.8-4.0% แม้ว่าเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นในช่วงต้นปี แต่ก็คาดว่าจะทยอยปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2/51 ซึ่งก็คงต้องขึ้นกับแนวโน้มราคาน้ำมันด้วย
ทั้งนี้ ล่าสุดในเดือนมี.ค.อัตราเงินเฟ้อทั่วไป(Headline Inflation)ยังอยู่ในระดับสูงถึง 5.3% และเฉลี่ยไตรมาส 1/51 ที่ 5.0% ก็ยังถือว่าเป็นไปตามที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ที่ 4-5% ซึ่งเป็นกรอบด้านสูง ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน(Core Inflation)ช่วงไตรมาส 1/51 ที่ระดับ 1.5% เป็นไปตามประมาณการในช่วง 1-2% เช่นกัน
นางอมรา กล่าวว่า การทบทวนประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ จะดูทั้ง Headline inflation และ Core inflation รวมทั้งอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP Growth)ด้วย โดยปัจจัยด้านต่าง ๆ นั้นแม้ราคาสินค้าเร่งตัวขึ้นในช่วงนี้ แต่ราคาน้ำมันเริ่มลดลงบ้างแล้ว ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ก็ควบคุมราคาสินค้าไว้ได้ส่วนหนึ่ง และมีการทยอยปรับขึ้นราคาไปบ้าง ซึ่งจุดนี้ช่วยควบคุมการเร่งตัวของเงินเฟ้อได้
จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นที่รัฐบาลได้ทยอยประกาศออกมา ทำให้รายได้ของคนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลให้การใช้จ่ายเร่งตัวขึ้นด้วย ขณะที่โครงการพัฒนาศักยภาพหมูบ้านและชุมชนเมือง(SML)ก็มีความชัดเจนมากกว่าโครงการอยู่ดีมีสุข จึงช่วยให้เศรษฐกิจมีโมเมนตัมขยายตัวต่อไปได้แม้เงินเฟ้อจะเร่งตัว ก่อนที่รัฐบาลจะมีมาตรการอื่น ๆ ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวในช่วงปลายปีนี้ เช่น การใช้จ่ายเงินผ่านรัฐวิสาหกิจ และการลงทุนในโครงการรถไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้
ในด้านสมมติฐานราคาน้ำมันนั้น ขณะนี้แม้ว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้นไปเกินกว่า 90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
แต่ก็ถือว่ายังอยู่ภายใต้สมมติฐานขั้นสูงที่ธปท.ประเมินไว้ที่ 96 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่สมมติฐานขั้นกลางอยู่ที่ 85 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
--อินโฟเควสท์ โดย ธปฦ/ศศิธร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--