นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีต รมช.แรงงาน โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงความเคลื่อนไหวกรณีที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ว่า ทำให้อัตราดอกเบี้ยขึ้นไปอยู่ที่ 1.5% นับเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 13 ปี จากที่เคยใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบต่อเนื่องมา 8 ปี จนเพิ่งมาเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อของสหภาพยุโรป (อียู) ที่ปัจจุบันพุ่งไปถึง 9.9% แล้ว
โดยนางคริสติน ลาการ์ด ประธานอีซีบี คาดว่าน่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกหลายครั้ง และคาดว่าเดือนธันวาคมนี้จะขึ้นอีก 0.5% หลังจากนั้นน่าจะขึ้นอีกคราวละ 0.25% จนแตะระดับสูงสุดประมาณ 2.6% ถึง 3.0% ในปีหน้า
นอกจากมติขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ยังมีมติลดการชดเชยธนาคารพาณิชย์ในอียูผ่านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ จากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับศูนย์หรือติดลบ เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้น เพื่อบีบให้ธนาคารพาณิชย์เร่งชำระคืนยอดเงินกู้คงค้างที่มีอยู่ทั้งหมดรวม 2.1 ล้านล้านยูโร
ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีการประชุมสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ไปอยู่ที่ 4.00% หลังจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐฯ ไตรมาสที่ 3 ขยายตัว 2.6% ดีกว่าคาดไว้ที่ขยายตัว 2.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้
ด้านคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยมีกำหนดประชุมอีกครั้งเดือน พ.ย.65 โดยคาดว่าจะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% หากจำเป็น ซึ่งจากรายงานเสถียรภาพระบบการเงินไทย ประจำไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 พบว่าการไม่ขึ้นดอกเบี้ยอย่างก้าวกระโดด พร้อมกับการบูรณาการความร่วมมือเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณภาพสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ปรับดีขึ้นเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อรถยนต์
อย่างไรก็ตาม กลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในภาพรวมทุกประเภทสถาบันการเงินยังเร่งตัวขึ้น โดยสินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วัน จากโควิด-19 เพิ่มขึ้นจากจำนวนลูกหนี้ 1.9 ล้านคน 2.3 ล้านบัญชี ยอดคงค้าง 2 แสนล้านบาทในเดือน ม.ค.65 มาเป็น 2.9 ล้านคน 4.3 ล้านบัญชี ยอดคงค้าง 4 แสนล้านบาท ในเดือน มิ.ย.65 ซึ่งจะเห็นได้ว่ายอดคงค้างเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในเวลาเพียง 6 เดือน
"นี่คือกลุ่มลูกหนี้ที่เปราะบางจากรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งควรได้รับการดูแลเพิ่มเติมจากธนาคารพาณิชย์ ในแนวทางการแก้ไข หรือปรับโครงสร้างหนี้ที่ยืดหยุ่นเฉพาะกลุ่ม และจำเป็นต้องเสริมด้วยมาตรการเฉพาะจากรัฐบาลเพื่อช่วยลดค่าครองชีพ และฟื้นรายได้" นางนฤมล ระบุ