ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คงประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะขยายตัวได้ใน กรอบ 3.0-3.5% มูลค่าการส่งออก ขยายตัว 7-8% และอัตราเงินเฟ้อ 6.0-6.5% โดยประเมินว่า เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ ตามการปรับตัวดีขึ้นของภาคการท่องเที่ยว และอุปสงค์ภายในประเทศเป็นหลัก ขณะที่ผลกระทบจากน้ำท่วมอยู่ในวงจำกัด
"เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ ตามการปรับตัวดีขึ้นของภาคการท่องเที่ยว และอุปสงค์ภายในประเทศเป็นหลัก ขณะที่ผล กระทบจากน้ำท่วมที่อยู่ในวงจำกัด ในระยะข้างหน้าจำเป็นต้องติดตามความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย และทบทวนการถอน นโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน" นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศ ไทย ในฐานะเป็นประธาน กกร.กล่าวในการแถลงข่าว
อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้าจำเป็นต้องติดตามความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย และทบทวนการถอนนโยบาย สนับสนุนเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
กรอบประมาณการเศรษฐกิจไทย ปี 2565 ของ กกร.
%YoY ปี 2565 ( ก.ย.65) ปี 2565 (ต.ค.65) ปี 2565 ( พ.ย.65) GDP 2.75 ถึง 3.5 3.0 ถึง 3.5 3.0 ถึง 3.5 ส่งออก 6.0 ถึง 8.0 7.0 ถึง 8.0 7.0 ถึง 8.0 เงินเฟ้อ 5.5 ถึง 7.0 6.0 ถึง 6.5 6.0 ถึง 6.5
นายสนั่น กล่าวว่า การค้าโลกมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงตามเศรษฐกิจโลกที่มีโอกาสเผชิญภาวะถดถอยชัดเจนมากขึ้น โดยองค์การการค้าโลก (WTO) คาดว่าในปี 2566 การค้าโลกจะเติบโตในระดับต่ำแค่ 1% จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของ หลายประเทศ เนื่องจากเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงยาวนาน และธนาคารกลางใช้นโยบายการเงินเข้มงวด รวมถึงความขัดแย้งระ หว่างรัสเซียและยูเครนยังส่งผลกระทบต่อตลาดพลังงานอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับประมาณการล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่าง ประเทศ (IMF) ที่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจของหลายประเทศ อีกทั้งโอกาสการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีมากขึ้น โดยเฉพาะ สหรัฐและ Euro Zone ที่มีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
ตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2566 ถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นไปทิศทางเดียวกับ เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญที่ชะลอตัวลงเช่นกัน เศรษฐกิจไทยจะเผชิญต้นทุนต่างๆ ทั้งค่าไฟ ค่าแรง และสินค้านำเข้า ที่แพงขึ้น ใน ขณะเดียวกัน นโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจเริ่มมีการลดบทบาทออกไปเพื่อปรับนโยบายสู่สมดุล (Policy Normalization) ทั้ง นโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV และการ ปรับขึ้นค่าธรรมเนียม FIDF ซึ่งการถอนการสนับสนุนเศรษฐกิจหลายมาตรการพร้อมๆ กัน มีความเสี่ยงที่จะส่งผลกดดันการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจไทยมากกว่าที่ทางการประเมินไว้เดิมได้ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากกว่าคาด ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศ ทยอยฟื้นตัว ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนกันยายนอยู่ที่ 1.3 ล้านคน ทั้งปีน่าจะใกล้ เคียง 10 ล้านคน จึงมีส่วนช่วยให้การจ้างงานของเอกชน และอุปสงค์ภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น
พร้อมมองว่า มาตรการช่วยเหลือเพื่อประคับประคองกลุ่มเปราะบางของธนาคารพาณิชย์ยังคงมีความจำเป็น เพื่อช่วย สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท่ามกลางความเสี่ยงหลายด้าน เพื่อชะลอผลกระทบต่อลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่ราย ได้ยังกลับมาไม่เต็มที่ และผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SMEs ให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด สามารถประคองตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไป ได้ โดยคำนึงถึงการส่งเสริมการออมเงินของประชาชนเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ธนาคารยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าลดภาระทางการ เงิน และสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างยั่งยืน ซึ่งธนาคารแต่ละแห่ง จะพิจารณาและเสนอแนวทางการช่วยเหลือการปรับโครง สร้างหนี้ที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้และความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย เพื่อให้สามารถช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด
ขณะที่นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานร่วมฯ กล่าวว่า กกร.มีความเป็นห่วงการฟื้นตัว ของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า เนื่องจากประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP ในปีหน้าได้ถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ด้วย สถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงหลายด้าน และมีการทยอยลดบทบาทนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจเพื่อให้เข้าสู่จุดสมดุล (Policy Normalization) อาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยมีแรงส่งน้อยกว่าที่คาดไว้ และกลับไปสู่ระดับเดิมก่อนการแพร่ระบาดล่าช้าออกไป การทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การปรับขึ้นเงินนำส่งเข้า FIDF เข้าสู่ภาวะปกติจากอัตรา 0.23% เป็น 0.46% ตั้งแต่วัน ที่ 1 ม.ค.66 จะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระบบ และการยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV ซึ่งการ ทยอยลดบทบาทหลายมาตรการพร้อมๆ กัน เสี่ยงที่จะเป็นการกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SME และ ครัวเรือนที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว
ในปี 2566 ธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทยจะเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกลางของ ระบบการเงินสำหรับภาคธุรกิจ (PromptBiz) บนมาตรฐานการรับส่งข้อมูล ISO 20002 ซึ่งจะมีการเชื่อมต่อการนำส่งภาษีผ่าน ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Invoice) โดยจะมีการเชื่อมต่อกับการพัฒนา Digital Supply chain Finance Platform (DSCF) และ National Digital Trade Platform (NDTP) ที่ กกร.ร่วมขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของภาค ธุรกิจ
นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร.ยังได้มีการหารือถึงการประกาศใช้ พ.ร.ฎ.กำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ. ศ.2564 วันที่ 13 ธ.ค.64 ซึ่งระบุอัตราภาษีสำหรับปีภาษี พ.ศ.2565 โดยกำหนดใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.65 ไม่ได้ปรับลดลง 90% แต่มีผลเป็นเพียงการลดอัตราการจัดเก็บในระดับชั้นเดียว คือ ลดจากอัตราเพดานตามมาตรา 37 ลงมา แต่ยังไม่ได้ลดลงอีก 90% ตามมาตรา 55 ซึ่งจะทำให้ราคาประเมินใหม่รอบปี 2566-2569 ทั้งประเทศปรับขึ้นเฉลี่ย 8% ที่ดินรกร้างว่างเปล่าจะครบกำหนด 3 ปีที่ต้องเพิ่มอัตราเก็บภาษีอีก 0.3% และ กทม.จ่อปรับอัตราเก็บภาษีที่ดินเกษตรกรรมเต็มเพดาน 0.15% หรือเก็บเพิ่ม 15 เท่า ซึ่ง กกร.ขอเสนอให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน พิจารณาใน 4 ประเด็น ดังนี้
1.ขอให้พิจารณาแก้ไขอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือสร้างเสร็จที่ยังไม่ได้ขาย จากประเภท อื่นๆ เป็นประเภทที่อยู่อาศัย
2.พิจารณาการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในบริการสาธารณะและสาธารณูปโภคในโครงการจัดสรรฯ และ อาคารชุดที่ใช้ร่วมกัน ซึ่งตามกฎหมายปัจจุบันจะไม่ได้รับการยกเว้น จึงขอเสนอพิจารณาการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดัง กล่าว จากประเภทอื่นๆ เป็นประเภทที่อยู่อาศัย
3.พิจารณาปรับลดอัตราการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต่อไปอีก 2 ปี (ปี 2566 และ ปี 2567) โดยเสนอให้มี การจัดเก็บภาษีแบบขั้นบันได ทั้งนี้ในปี 2566 ขอลดหย่อน 75% และปีต่อไป 50% ตามลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
4.พิจารณายกเว้น เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และดอกเบี้ยสำหรับผู้ค้างชำระในปี 2565 โดยให้ผ่อนชำระในปี 2566
ด้าน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานร่วมฯ กล่าว ว่า การจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) เป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างแต้มต่อให้กับประเทศต่างๆ ในการแข่งขันที่รุนแรงท่าม กลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่เผชิญวิกฤตถดถอยในขณะนี้ โดย กกร.เห็นว่าควรเร่งรัดการเจรจา FTA ให้มากขึ้น รวมถึงต้องมีการ ปลดล็อคปัญหาต่างๆ เพื่อให้ดำเนินต่อได้ รวมทั้งประเทศไทยต้องปรับตัวเองเพื่อเข้าสู่มาตรฐานใหม่ของการทำ FTA ในอนาคต ด้วย เพราะหากไม่แก้ปัญหาต่างๆ นี้แล้ว การทำ FTA ก็จะเกิดขึ้นได้ยาก และประเทศไทยจะเสียผลประโยชน์อย่างมาก
"เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกมากถึง 60% แต่การทำ FTA ยังล่าช้า ขณะที่เวียดนามจัดทำไปแล้ว 13 ฉบับ ครอบ คลุม 55 ประเทศ แต่เราทำไปได้ 14 ฉบับ ครอบคลุม 19 ประเทศ ต่างกันถึง 36 ประเทศ ซึ่งจะไม่จูงใจการลงทุนจ่างต่าง ประเทศ ในระยะสั้นต้องเร่งทำ Mini FTA เพื่อสร้างตลาดใหม่" นายเกรียงไกร กล่าว
สำหรับการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคครั้งที่ 29 หนึ่งในข้อเสนอของสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจต่อที่ประชุมฯ คือ การ ผลักดันให้มีการจัดตั้ง FTAAP ซึ่งจะเป็นเขตการค้าเสรีที่มีศักยภาพสูงสุด เนื่องจากมีประชากรราว 2 พันล้านคน มีสัดส่วน GDP มากถึง 60% ของทั่วโลก โดยถือว่าเป็นช่วงจังหวะดีที่จะผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว
"สถานการณ์มีความเหมาะสม เนื่องจากขณะนี้กำลังเกิดวิกฤตเงินเฟ้อวิกฤตพลังงาน และวิกฤตอาหาร เพิ่มเติมเข้า มา หากยังไม่มีความร่วมมือกัน ก็คงแก้ไขปัยหาภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ยาก" นายเกรียงไกร กล่าว