ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ล่าสุด เงินบาทพลิกแข็งค่าหลุดแนว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 3 เดือนที่ 35.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะลดช่วงบวกกลับมาบางส่วน ทั้งนี้ เงินบาทและสกุลเงินเอเชียในภาพรวมปรับตัวแข็งค่าขึ้น ท่ามกลางแรงเทขายเงินดอลลาร์ฯ อย่างต่อเนื่อง หลังข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรวัดเงินเฟ้อของสหรัฐฯเริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลงในเดือนตุลาคม 2565 ซึ่งภาพดังกล่าวหนุนการคาดการณ์ของตลาดที่มองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)อาจเริ่มทยอยลดความแข็งกร้าวในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่การประชุม FOMC รอบหน้าในเดือนธันวาคม 2565
นอกจากนี้ ยังมีข่าวดีจากการที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯถอดไทยออกจากรายชื่อประเทศที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด (Monitoring List) ในรายงานนโยบายเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ ฉบับล่าสุดซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ด้วยเช่นกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เงินบาทอาจยังคงมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบที่ผันผวน ดังนั้นผู้ประกอบการและนักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและทยอยปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพราะการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงหลังจากนี้อาจไม่ได้โน้มไปแบบทิศ ทางเดียว เพราะยังมีจุดที่ต้องระมัดระวัง ซึ่งก็คือ สัญญาณของเฟด โมเมนตัมเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และภาพรวมความเสี่ยงของแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และน่าจะเป็นภาพต่อเนื่องในปี 2566
นอกจากนี้ เงินบาทยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการขยับแข็งค่าของเงินหยวนซึ่งรับปัจจัยบวกจากรายงานข่าวที่ระบุว่า ทางการจีนพิจารณาลดจำนวนวันกักตัวและผ่อนคลายข้อจำกัดบางส่วนในการดูแลสถานการณ์โควิด-19 ภายในประเทศด้วยเช่นกัน
ทิศทางค่าเงินในเอเชีย รวมถึงเงินบาทเริ่มพลิกกลับมาแข็งค่าในเดือนพฤศจิกายน 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองอย่างรวดเร็ว และพยายามหาสัญญาณที่บ่งชี้ว่า เฟดอาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับระดับการเคลื่อนไหวในช่วงก่อนการประชุมเฟดเดือนพฤศจิกายน 2565 เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วเกือบ 6% ตามหลังค่าเงินวอนที่แข็งค่าขึ้นถึง 8.3% โดยการพลิกแข็งค่าของทั้งเงินบาทและเงินวอนเป็นภาพที่ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสกุลเงินเอเชียอื่นๆที่แข็งค่าขึ้นในกรอบประมาณ 1-3%
และเมื่อดูการเคลื่อนไหวของสถานะพอร์ตการลงทุนของต่างชาติ ก็คงต้องยอมรับว่า การขยับแข็งค่าของเงินบาทในเดือนพฤศจิกายนนั้น เป็นทิศทางที่สอดคล้องกับจังหวะการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติซึ่งอยู่ในฝั่งซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยโดยมียอดเงินทุนไหลเข้าสะสมรวมกันประมาณ 1.18 แสนล้านบาท (เป็นเข้าตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น 9.4 หมื่นล้านบาท และ 2.4 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ)
นอกจากนี้ ยังมีข่าวดีจากการที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯถอดไทยออกจากรายชื่อประเทศที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด (Monitoring List)ในรายงานนโยบายเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ ฉบับล่าสุดซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 โดยในรายงานฉบับนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ไม่มีคู่ค้าหลักรายใดของสหรัฐฯ ที่บิดเบือนค่าเงิน (Manipulator)เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับสหรัฐฯ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การที่ไม่มีประเทศใดติดลิสต์รายชื่อประเทศที่บิดเบือนค่าเงินนั้นเป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมา สกุลเงินส่วนใหญ่ล้วนเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าอย่างมาก อันเป็นผลกระทบสืบเนื่องมาจากเงินดอลลาร์ฯที่แข็งค่าตามจังหวะการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจนทำให้ทางการของหลายประเทศต้องเข้าดูแล (Intervention) เพื่อพยุงหรือชะลอการอ่อนค่าของสกุลเงินซึ่งก็เป็นทิศทางการเข้าดูแลตลาดเพื่อลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและไม่ได้สร้างแต้มต่อด้านค่าเงินเพื่อประโยชน์ในการค้ากับสหรัฐฯ
สำหรับในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เงินบาทอาจยังคงมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบที่ผันผวน เพราะแม้สัญญาณเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ชะลอลง จะกระตุ้นให้ตลาดเทขายเงินดอลลาร์ฯ เพื่อทำกำไรจากที่แข็งค่าขึ้นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา แต่การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงหลังจากนี้อาจไม่ได้โน้มไปแบบทิศทางเดียว เพราะยังมีจุดที่ต้องระมัดระวัง ซึ่งก็คือ สัญญาณของเฟด รวมถึงโมเมนตัมเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐฯเพราะเฟดยังไม่ได้หยุดการคุมเข้มนโยบายการเงิน และยังต้องขึ้นดอกเบี้ยไปจนกว่าจะสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ ซึ่งนั่นก็แปลว่า จุดสูงสุด หรือ Terminal Rate ของวัฏจักรขาขึ้นของดอกเบี้ยสหรัฐฯ และช่วงเวลาการยืนดอกเบี้ยต่ออีกระยะหนึ่งยังเป็นเรื่องที่ยากจะประเมิน ณ เวลานี้ และอาจเป็นตัวแปรที่หนุนให้เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวกลับมาได้เป็นระยะๆตามมุมมองของตลาดที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้น ผู้ประกอบการและนักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และทยอยปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยพึงตระหนักว่า การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงหลังจากนี้ ยังคงมีโอกาสผันผวนค่อนข้างมาก เพราะมีหลายตัวแปรที่เกี่ยวข้องทั้งจังหวะขาขึ้นของดอกเบี้ยเฟด แนวโน้มการชะลอตัวหรือเข้าขั้นถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก ซึ่งล้วนมีผลต่อการประคองแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ และต่อเนื่องในปีหน้า