น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายและกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 3 ปี 2565 ว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3 ปี 2565 ขยายตัว 5.3% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน แต่ชะลอลงจาก 6.3% ในไตรมาสก่อนหน้า จากการชำระคืนของสินเชื่อที่ให้แก่ภาครัฐ ประกอบกับการบริหารจัดการคุณภาพหนี้
ทั้งนี้ สินเชื่อยังขยายตัวสอดคล้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดย
- สินเชื่อธุรกิจ ขยายตัว 6.1% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน จากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ขยายตัวตามความต้องการเงินทุนเพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวชัดเจนขึ้น
- สินเชื่อธุรกิจ SMEs หดตัว ผลจากสินเชื่อ soft loan ที่ทยอยชำระคืนเป็นสำคัญ
- สินเชื่ออุปโภคบริโภค ขยายตัว 3.9% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกพอร์ตสินเชื่อ ประกอบด้วย สินเชื่อส่วนบุคคล ขยายตัว 7.7% ต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน
- สินเชื่อที่อยู่อาศัย ขยายตัว 2.6% ตามอุปสงค์ต่อที่อยู่อาศัยที่ปรับเพิ่มขึ้นทั้งแนวราบและแนวสูง ส่วนหนึ่งจากผลของมาตรการสนับสนุนการซื้อที่อยู่อาศัยที่จะสิ้นสุดในปี 2565
- สินเชื่อรถยนต์ขยายตัว 1.6% สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ปรับดีขึ้น
- สินเชื่อบัตรเครดิตขยายตัวต่อเนื่อง 10.9% สอดคล้องกับปริมาณการใช้จ่ายที่ขยายตัว รวมถึงผลของการใช้จ่ายที่อยู่ในระดับต่ำจากการล็อกดาวน์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านคุณภาพสินเชื่อ ธนาคารพาณิชย์บริหารจัดการคุณภาพหนี้ และให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non Performing Loan: NPL หรือ stage 3) ของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 3 ปี 2565 ลดลงมาอยู่ที่ 502.7 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 2.77% ลดลงจากไตรมาส 2 ปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 2.88% ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (Significant Increase in Credit Risk: SICR หรือ stage 2) อยู่ที่ 6.26% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 6.09%
น.ส.สุวรรณี กล่าวว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2565 จำนวน 6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน 56.8% โดยหลักเป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อที่ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่ายสำรองลดลง หลังจากที่ธนาคารพาณิชย์ได้ทยอยกันสำรองในระดับสูงตลอดช่วงโคว-19
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไตรมาสก่อน กำไรสุทธิปรับลดลงจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่ลดลงจากรายได้เงินปันผลตามปัจจัยฤดูกาลในไตรมาสก่อน ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Net Interest Margin: NIM) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.64% จากไตรมาสก่อนที่ 2.51% ทั้งนี้ ภาพรวมอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Assets: ROA) ลดลงมาอยู่ที่ 1.01% จากไตรมาสก่อนที่ 1.11%
น.ส.สุวรรณี กล่าวว่า ในภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์มีความเข้มแข็ง โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และสนับสนุนความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจและครัวเรือนได้ในระยะถัดไป
นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ยังบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อ และให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ NPL ratio โดยรวมลดลงจากการบริหารจัดการหนี้ของธนาคารพาณิชย์ แต่ยังคงต้องติดความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ เนื่องจากการฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะ SMEs และรายย่อยกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ และต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น
ขณะที่ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ปรับดีขึ้นจากปีก่อน โดยหลักจากการขยายตัวของสินเชื่อที่ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่ายสำรองลดลง โดยระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนทั้งสิ้น 3,094.6 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่ 19.2% เงินสำรองอยู่ในระดับสูงที่ 890.7 พันล้านบาท โดยอัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) อยู่ที่ 171.6% และอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (Liquidity Coverage Ratio: LCR) อยู่ที่ 186.5%
น.ส.สุวรรณี ยังกล่าวถึงความคืบหน้าของมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู วงเงิน 250,000 ล้านบาท ณ วันที่ 14 พ.ย.65 ว่า มียอดสินเชื่อที่อนุมัติแล้ว 199,693 ล้านบาท จำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือ 57,826 ราย คิดเป็นวงเงินที่ได้รับการอนุมัติเฉลี่ย 3.5 ล้านบาท/ราย ส่วนโครงการพักทรัพย์พักหนี้ วงเงิน 1 แสนล้านบาทนั้น มียอดอนุมัติเข้าร่วมโครงการแล้ว 54,886 ล้านบาท คิดเป็นผู้ได้รับความช่วยเหลือ 390 ราย