น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิด ด้วยเศรษฐกิจ BCG ออกไปอีก 6 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 - 31 มีนาคม 2566 ทำให้โครงการมีระยะเวลารวมทั้งสิ้น 9 เดือน (จากเดิมที่กำหนดไว้ 3 เดือน ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน 2565) โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติไว้ทั้งสิ้น 3,565 ล้านบาท ซึ่งข้อมูล ณ 10 กันยายน 2565 มีการใช้จ่ายงบประมาณไปแล้วจำนวน 2,701 ล้านบาท คิดเป็น 75.76% ของงบประมาณโครงการ
สำหรับโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิด ด้วยเศรษฐกิจ BCG มีวัตถุประสงค์ดังนี้
1) เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการด้าน BCG ในพื้นที่ ด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
2) เพิ่มการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ และประชาชนในพื้นที่
3) พัฒนากำลังคนให้มีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการทำงานในปัจจุบัน และทักษะที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ
4) พัฒนาฐานข้อมูล Thailand Community Big Data ให้มีความสมบูรณ์ครอบคลุมในทุกพื้นที่ของประเทศ
โดยมีกลุ่มเป้าหมายของโครงการ คือ บัณฑิตจบใหม่ไม่เกิน 5 ปี ผู้ที่ถูกเลิกจ้าง หรือประชาชนในพื้นที่ ครอบคลุม 7,435 ตำบลทั่วประเทศ
การดำเนินโครงการจะขับเคลื่อนผ่านกิจกรรมหลัก อาทิ 1.กิจกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อเป็นการพัฒนา ส่งเสริมผลิตภัณฑ์และบริการด้าน BCG ของชุมชนออกสู่ตลาดอย่างเป็นระบบและยั่งยืน เช่น การพัฒนาสินค้าและบริการชุมชนให้ได้มาตรฐานด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม การทำการตลาด และขายสินค้าในรูปแบบ online/offline ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ หรืออัตลักษณ์ของสินค้าและบริการ
2.การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และส่งเสริมการใช้ประโยชน์ และสนับสนุนการจัดทำข้อมูล TCD ให้สมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ และการถ่ายทอดการใช้ประโยชน์จาก TCD
สำหรับผลการดำเนินการโครงการที่ผ่านมา มีผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ 64,428 คน คิดเป็น 94.26% จากเป้าหมาย 68,350 คน โดยแบ่งเป็น บัณฑิตจบใหม่ 32,420 คน และประชาชน 32,008 คน เกิดกิจกรรมในพื้นที่ รวม 15,631 โครงการทั่วประเทศ มีสถาบันอุดมศึกษา 98 แห่ง ทำหน้าที่เป็นผู้บูรณาการระบบในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ในแต่ละพื้นที่ให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน
น.ส.รัชดา กล่าวว่า การดำเนินโครงการในช่วง 6 เดือนต่อจากนี้ จะเป็นการพัฒนาต่อยอดผลลัพธ์ของโครงการในช่วง 3 เดือนแรก ได้แก่ 1.การพัฒนา ส่งเสริม และผลักดันผลิตภัณฑ์และบริการ BCG ของชุมชนอย่างเป็นระบบและยั่งยืน 2. การพัฒนา Platform เพื่อผลักดันผลที่ได้รับจากการดำเนินกิจกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ของ 7,435 ตำบล สู่การพัฒนาด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการผลักดันสินค้าและบริการออกสู่ตลาด ผ่านช่องทางการจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ให้กับตำบล (U2T Market Place Platform) 3. การจัดทำ TDC และการวิเคราะห์ข้อมูล และ 4. การติดตามและประเมินผลการดำเนินการโครงการ
"การดำเนินนโยบาย BCG ของรัฐบาล เป็นไปเพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม ผู้ประกอบการทุกขนาด รวมถึงชุมชนระดับฐานราก โดยต้องเป็นไปอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ภายหลังการประชุม APEC 2022 คาดการณ์ว่า จะมีการลงทุนภายใต้นโยบาย BCG ที่จะเกิดขึ้นตามมาในระยะต่อๆ ไปมากกว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะเร่งยกระดับศักยภาพชุมชนและประชาชน เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากโอกาสนี้อย่างเต็มที่" น.ส.รัชดา กล่าว