รายงานของธนาคารโลกระบุว่า ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกอาจจะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เนื่องจากประเทศเหล่านั้นจำเป็นต้องรับมือกับราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้นและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
ฮวน โฮเซ่ ดาบูบ กรรมการผู้จัดการธนาคารโลกกล่าวในที่ประชุมนอกรอบของบรรดารัฐมนตรีคลังจากประเทศในกลุ่มอาเซียนครั้งที่ 12 ที่จัดขึ้นที่กรุงดานัง ประเทศเวียดนามในวันนี้ว่า ราคาอาหารโดยเฉพาะราคาข้าวที่พุ่งสูงขึ้น ได้สร้างแรงกดดันให้กับประเทศต่างๆอย่างหนัก ดังนั้นรัฐบาลจากประเทศต่างๆ จะต้องหามาตรการในระยะสั้นเพื่อช่วยเหลือคนจน ขณะเดียวกันก็ต้องเดินหน้าหามาตรการแก้ไขปัญหาในระยะยาวเพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนอุปทานอาหารด้วย
"ราคาอาหารที่สูงขึ้นจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นและส่งผลกระทบให้รายได้ที่แท้จริงของคนจนลดลง ซึ่งส่วนใหญ่รายได้ 1-2 ใน 3 ส่วนจะหมดไปกับการจับจ่ายซื้ออาหาร ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นกับทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก"
การชลประทาน การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการจัดหาอาหาร การลงทุนด้านการบริการเพื่อช่วยเหลือด้านการเกษตร รวมถึงการวิจัยและพัฒนาที่เพิ่มขึ้น เป็นองค์ประกอบสำคัญของมาตรการแก้ไขปัญหาในระยะยาว
นอกจากนี้ การให้สิทธิแก่เกษตรกรในการครองครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้น จะเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น และช่วยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อซื้อเครื่องจักร เมล็ดพันธุ์ และปุ๋ย ซึ่งจะสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตได้
ดาบูบกล่าวว่า ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกจะลดลง 1 หรือ 2% ในปี 2551 แตะระดับ 8.5% อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่าการปรับปรุงความสามารถในการผลิต นวัตกรรม การควบคุมคุณภาพ การศึกษา และทักษะต่างๆ จะเป็นปัจจัยผลักดันให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในระยะยาวได้ สำนักข่าวซินหัวรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย วณิชชกร ควรพินิจ/ปนัยดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--