น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่รัฐบาลกำหนดนโยบายให้การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้รายงานว่าตั้งแต่รัฐบาลได้ประกาศมาตรการส่งเสริมการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าได้มีผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกให้ความสนใจประเทศไทย ประกอบกับไทยเป็นฐานผลิตยานยนต์ทั้งรถยนต์นั่ง กระบะ จักรยานยนต์ ที่สำคัญของโลกอยู่แล้ว ซึ่งผู้ผลิตหลายรายทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนได้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนเข้ามายังบีโอไอ และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาพูดคุยกับผู้ผลิตรถยนต์หลายราย จากทั้ง จีน ญี่ป่นและยุโรป ที่ให้ความสนใจมาลงทุนในไทยด้วย
จากข้อมูลของบีโอไอแสดงให้เห็นว่านอกจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจนแล้ว ความต้องการและตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างรวดเร็วในไทยเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดผู้ผลิตรถยนต์ แบตเตอรี่ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า สนใจเลือกประเทศไทยเป็นฐานผลิตเพื่อขายในไทยและส่งออกไปทั่วโลก
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ตามแผนงานปี 2566 ที่บีโอไอจะมีกิจกรรมชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศทุกรูปแบบและช่องทางรวมกว่า 200 ครั้ง นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้เสนออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลัก เร่งให้ข้อมูลนักลงทุนได้ทราบถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ครอบคลุมทั้งด้านภาษีและไม่ใช่ภาษีเพื่อตัดสินใจเลือกไทยเป็นฐานผลิตหลักให้ได้
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยปัจจุบันอยู่ภายใต้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (คณะกรรมการ EV) ซึ่งนโยบายของคณะกรรมการฯ ได้นำไปสู่การออกทั้งมาตรการกระตุ้นความต้องการสร้างตลาดในประเทศ และมาตรการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอเพื่อให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ผลิต รถยนต์ รถโดยสาร จักรยานยนต์ เรือไฟฟ้า ผู้ผลิตชิ้นส่วน และแบตเตอรี่ รวมถึงมาตรการเสริมของหน่วยงานอื่นๆ เพื่อดึงดูดผู้ผลิตเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยอย่างครบวงจร โดยมีเป้าหมายว่าภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) ประเทศไทยจะมีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 30% ของการผลิตยานยนต์ในประเทศ
"นายกรัฐมนตรีพอใจกับการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในขณะนี้ ซึ่งส่วนสำคัญมาจากมาตรการภาษีและไม่ใช่ภาษีที่รัฐบาลออกเพื่อกระตุ้นความต้องการในประเทศ โดยมีผลตอบรับเป็นอย่างดี เห็นได้จากกระแสความสนใจของประชาชนต่อยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ที่ผู้ผลิตเสนอออกสู่ตลาด"น.ส.ไตรศุลี กล่าว