แต่ขณะเดียวกัน EIC ได้ปรับลดประมาณการณ์เติบโตของเศรษฐกิจในปี 66 เหลือ 3.4% จากเดิมที่ 3.7% หลังโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงมากภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น บางประเทศหลักจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้การส่งออกและการลงทุนของไทยชะลอลงตาม
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยปีหน้ายังมีแรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ดี ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เร่งตัวขึ้นเป็น 28.3 ล้านคนในปี 66 จากความต้องการท่องเที่ยวที่ยังอยู่ในระดับสูงและจีนมีแนวโน้มทยอยผ่อนคลายนโยบาย Zero-Covid อีกทั้ง การท่องเที่ยวในประเทศเติบโตได้ค่อนข้างดีและกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้รายได้ภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการบริโภคขยายตัวดีต่อเนื่อง แต่เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึงในกลุ่มครัวเรือนและธุรกิจที่ยังเปราะบาง
ขณะที่เงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะทยอยลดลงได้ช้าและยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายอยู่ที่ 6.1% และ 3.2% ในปี 65 และ 66 ตามลำดับ เนื่องจากราคาพลังงานและอาหารที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง และส่งผลต่อเนื่องไปเงินเฟ้อพื้นฐานด้วย
ด้านนางสาวฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านเศรษฐกิจ และตลาดการเงิน EIC กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยทยอยฟื้นตัว แต่การฟื้นตัวไม่ทั่วถึง (Uneven) โดยการท่องเที่ยวและการบริโภคจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่แรงส่งจากการส่งออกและการลงทุนจะชะลอลงมาก
ค่าครองชีพและต้นทุนภาคธุรกิจจะยังสูงอยู่ ทำให้รายได้ครัวเรือนบางกลุ่มโตไม่ทันรายจ่าย และธุรกิจฟื้นตัวได้ไม่เท่ากัน เห็นได้จากจำนวนครัวเรือนกลุ่มเปราะบางที่เพิ่มขึ้นในช่วงโควิด-19 อยู่ที่ 2.1 ล้านครัวเรือนหรือเพิ่มขึ้น 24% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ภาคธุรกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่างกัน กลุ่มที่ตอบโจทย์การฟื้นตัวการบริโภคหรือสอดรับกับเทรนด์โลกจะฟื้นตัวเร็ว แต่บางกลุ่มธุรกิจจะยังมีความเสี่ยงและฟื้นตัวช้าจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้ว่า EIC ประเมินว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยจะมีไม่มาก แต่หากธนาคารกลางหลักของโลกขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่ากรณีฐานอีก 100 BPS ในปี 66 เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยถึง 5.75-6.00% จะเป็นปัจจัย Trigger ให้เกิดกรณีเศรษฐกิจถดถอย ภาพรวมเศรษฐกิจโลกแทบไม่ขยายตัว โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในกรณีนี้จะเพิ่มขึ้นเกิน 80% ในปี 66
อย่างไรก็ดี ภาครัฐยังมีความสามารถเพียงพอรองรับความไม่แน่นอนดังกล่าวที่อาจมากระทบเศรษฐกิจไทย
ขณะที่คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายค่อยเป็นค่อยไปครั้งละ 25 BPS สู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปีนี้ และปรับขึ้นต่อเนื่องอีก 3 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 66 สู่ระดับ 2% เพื่อให้นโยบายการเงินค่อย ๆ กลับสู่ระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว โดย ธปท. จะประเมินจังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในระยะข้างหน้า ให้มั่นใจว่า Policy normalization ทั้งนโยบายการเงินและมาตรการการเงินที่จะทยอยหมดอายุในปีหน้า จะไม่ทำให้ภาวะการเงินตึงตัวเร็วมากจนกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและไม่แน่นอนสูง
ทิศทางค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องไปถึงปี 66 โดย EIC ประเมินว่าเงินบาทมีแนวโน้มอยู่ในกรอบ 36-37 บาท ณ สิ้นปีนี้ และจะทยอยแข็งค่าต่อเนื่องอยู่ในกรอบ 34.5-35.5 บาท ณ สิ้นปี 66
เงินบาทได้รับแรงหนุนหลักจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่จะอ่อนค่าลงตามทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐที่จะปรับขึ้นช้าลง และความเชื่อมั่นของนักลงทุนโลกต่อการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงที่จะปรับดีขึ้น นอกจากนี้ เงินบาทจะยังได้ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดการเงินไทย รวมถึงเงินเฟ้อไทยที่จะลดลงเร็วกว่าของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยจะยังเผชิญความเสี่ยงด้านต่างๆที่สำคัญ คือ 1. เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากกดดันการส่งออกและลงทุน 2.นโยบาย Zero-Covid ของจีนที่ยังไม่แน่นอนกระทบต่อนักท่องเที่ยวจีนและการส่งออก 3.เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยสูง หนี้สูง กดดันการฟื้นตัวไม่ทั่วถึงของครัวเรือนและธุรกิจบางกลุ่มที่เปราะบาง และ 4.ความไม่แน่นอนทางการเมืองกระทบความเชื่อมั่นในการลงทุน
นายสมประวิณ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจโลกชะลอตัวชัดเจนในปีนี้ และจะชะลอลงมากในปี 66 ภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น ทั้งจากเงินเฟ้อที่ลดลงช้า วิกฤตพลังงานยืดเยื้อ และนโยบายการเงินเข้มงวดทั่วโลก บางประเทศหลักเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยตั้งแต่ปลายปีนี้ เช่น สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป ขณะที่สหรัฐมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี 66
EIC จึงปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 65 ลงจาก 3.0% มาอยู่ที่ 2.9% และปีหน้าลดจาก 2.7% มาอยู่ที่ 1.8% โดยในกรณีฐานประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย หลายประเทศยังเติบโตได้ เช่น เศรษฐกิจจีนจะฟื้นดีขึ้นตามการผ่อนคลายนโยบาย Zero-Covid อย่างไรก็ดี หากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดอาจทำให้เกิดกรณีเศรษฐกิจโลกถดถอย เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศรุนแรง หรือเงินเฟ้อกลับมาเร่งสูงจนทำให้นโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อโลกจะยังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง แม้เงินเฟ้อบางประเทศผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดย EIC คาดว่า อัตราเงินเฟ้อของประเทศหลักจะยังสูงกว่าเป้าหมายธนาคารกลางอีก 1-2 ปี เนื่องจากแรงกดดันเริ่มฝังลึก รวมถึงอุปสงค์บริการที่จะเพิ่มขึ้น หลังอุปสงค์สินค้าคงทนทยอยปรับลดลงกลับสู่ภาวะปกติ ธนาคารกลางจึงจะยังคงทิศทางนโยบายการเงินตึงตัวในปี 66 โดยปรับขึ้นดอกเบี้ยช้าลง แต่จะยังคงดอกเบี้ยสูงอีกระยะ จนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้อจะกลับมาอยู่ในเป้า
สำหรับนโยบายการคลังทั่วโลกจะมีบทบาทกระตุ้นเศรษฐกิจลดลง และเน้นความยั่งยืนการคลังมากขึ้นหลังจากหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมากในช่วงวิกฤตโควิด-19
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและนโยบายการเงินทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดการเงินโลกผันผวนสูงขึ้น สภาพคล่องในตลาดการเงินและภาวะการเงินโลกตึงตัวขึ้นมาก นักลงทุนปิดรับความเสี่ยง (Risk-off) มากขึ้นตั้งแต่ต้นปี ทำให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกลดลงมาก ซึ่งจะกระทบความมั่งคั่งและการบริโภคในระยะข้างหน้าด้วย