นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยว่า Krungthai COMPASS ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 66 จะขยายตัวที่ 3.4% สูงกว่าปี 65 ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.2% แต่ก็ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ จากแรงกดดันของเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรงลง กระทบต่อภาคการส่งออก ซึ่งคาดว่ามูลค่าการส่งออกจะขยายตัวได้เพียง 1.2% เท่านั้น
โดยเศรษฐกิจโลกในปี 66 มีแนวโน้มชะลอตัว บางเขตเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย จากภาวะการเงินที่ตึงตัว ตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ
ขณะที่ต้นทุนสินค้าต่างๆ ยืนอยู่ในระดับสูง จากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่คาดว่าจะยังดำเนินต่อไป รวมไปถึงความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ และแนวนโยบายแบ่งขั้ว (de-globalization) ระหว่างกลุ่มประเทศ NATO กับรัสเซีย และสหรัฐฯ กับจีน ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้การค้าโลกชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ เศรษฐกิจโลกจะเป็นการเปลี่ยนผ่านจากการฟื้นตัวไปสู่ภาวะชะลอตัว หรือถดถอยแบบไร้ตัวช่วย ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง กรณีสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัว แต่อาจไม่เกิดภาวะถดถอย เนื่องจากตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง
ขณะที่ยุโรปเสี่ยงเผชิญภาวะถดถอย เพราะประสบกับปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ส่วนจีนชะลอตัวจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ และความไม่แน่นอนภายหลังทางการผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID เงื่อนไขเหล่านี้จะทำให้การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศหลักในปีหน้า มีความซับซ้อนและหาสมดุลได้ยาก
ประกอบกับภาวะการเงินในประเทศที่จะตึงตัวมากขึ้น จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณถึงความต้องการให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น เพื่อจัดการกับเงินเฟ้อที่จะยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายที่ 3%
ในด้านการท่องเที่ยว มีแนวโน้มจะฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่อง จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเข้ามาถึง 21.4 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปี 65 สนับสนุนดุลบัญชีเดินสะพัดของให้กลับมาเกินดุล ส่วนค่าเงินบาทยังเผชิญความผันผวน จากการคาดการณ์นโยบายการเงินของสหรัฐฯ โดยประเมินว่าค่าเงินบาทจะอยู่ในช่วง 33.75-36.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ดังนั้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 66 จะถูกขับเคลื่อนด้วยแรงจากเครื่องยนต์เดียวคือภาคการท่องเที่ยว จึงฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่นัก ขณะเดียวกัน ก็ต้องเผชิญความท้าทายใหม่ จากการเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบายสู่ภาวะปกติ (Policy Normalization) โดยเฉพาะมาตรการทางการเงิน ซึ่งธปท. จะปรับค่าธรรมเนียม FIDF กลับไปที่เดิมที่ 0.46% ตั้งแต่เดือนม.ค. 66 โดยจะเป็นปัจจัยที่สามารถทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับสูงขึ้นได้ถึง 0.4-0.6% ในคราวเดียว
ขณะเดียวกัน ควบคู่ไปกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่คาดว่า ณ สิ้นปี 66 จะขึ้นไปสู่ระดับ 2.00% จึงเป็นยุคดอกเบี้ยขาขึ้นเต็มตัว ในภาวะที่ธุรกิจยังมีแรงกดดันต้นทุนจากค่าไฟ ค่าแรง และวัตถุดิบ ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นความท้าทายสำหรับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อช่วยประคับประคองการฟื้นตัวที่ยังไม่ทั่วถึง ในรูปแบบของ New K-shaped Economy ต่อไป
สำหรับปี 66 จะเป็นช่วงเวลาที่ภาคธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง ที่เป็นผลจากการเปลี่ยนผ่านซึ่งครอบคลุมในหลายมิติ นอกจากประเด็นด้านเศรษฐกิจมหภาค ที่มีความผันผวนและไม่แน่นอนสูงแล้ว ยังต้องเตรียมพร้อมปรับตัวให้ทันกระแสโลกที่แปรเปลี่ยนไป โดยให้ความสำคัญกับ 4 เรื่อง ได้แก่
1. การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยเฉพาะด้านนโยบายใหม่ๆ อาทิ การเริ่มบังคับใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป การกำหนดมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Taxonomy) และนโยบายของไทยที่มุ่งสู่เศรษฐกิจ BCG
2. การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลเทคโนโลยีอย่างเต็มขั้น ซึ่งทำให้การแข่งขันโดยใช้เทคโนโลยีเป็นแกนหลักจะมีความรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ต้องบริหารความเสี่ยงด้าน Cyber security อย่างรัดกุม
3. การเปลี่ยนผ่านสู่ตลาดแรงงานที่ต้องมีการ Up & Re-skill อย่างเข้มข้นให้ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ ตลอดจนการปรับแผนทรัพยากรบุคคลเพื่อรองรับสังคมสูงวัย
4. การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนในทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งหมายถึงการยึดหลัก ESG สอดคล้องกับแนวโน้มที่ลูกค้าและนักลงทุนต่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
Krungthai COMPASS มองว่า ปีหน้าจะเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความท้าทายในหลายด้าน ซึ่งล้วนเป็นโจทย์ใหม่ที่ยังไม่ทราบคำตอบที่แน่ชัด จึงมีความเสี่ยงใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนผ่าน หรือเป็น Transition Risk รูปแบบหนึ่ง