ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 65 ฟื้นตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน นักท่องเที่ยวต่างชาติปี 65 ฟื้นตัวดีกว่าคาด หลังไทยเปิดประเทศผ่อนคลายนโยบายควบคุมโควิด-19 ตั้งแต่เดือน ก.ค. และมีโอกาสถึง 10.9 ล้านคนในปีนี้
ขณะเดียวกัน กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับเป็นปกติมากขึ้น ทำให้การบริโภคภาคเอกชนเติบโตดีจากอุปสงค์ที่สะสมมา (Pent-up demand) รวมถึงมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะรายได้ภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ รายได้เกษตรกรที่เพิ่มขึ้นมากจากราคาสินค้าเกษตร การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องในปีนี้ โดยกิจกรรมการผลิตบางอุตสาหกรรมกลับมาสูงกว่าก่อนโควิด-19 แล้ว เช่น ยานยนต์ และเครื่องจักร ด้านการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนขยายตัวดี โดยเฉพาะที่อยู่อาศัย
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในปี 65 ฟื้นตัวได้ไม่ทั่วถึง การส่งออกสินค้าที่เคยเป็นฟันเฟืองหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยก่อนหน้านี้ ส่งสัญญาณชะลอตัวลงมากในช่วงท้ายปี ตามอุปสงค์โลกชะลอตัว แรงกระตุ้นภาครัฐแผ่วลงมากหลัง พ.ร.ก.เงินกู้โควิดหมดลงในปีนี้
นอกจากนี้ เงินเฟ้อไทยเร่งสูงจากราคาพลังงานและอาหาร ส่งผลกดดันครัวเรือนบางกลุ่มที่รายได้ฟื้นช้ากว่ารายจ่ายและมีหนี้สูง แม้เงินเฟ้อทั่วไปผ่านจุดสูงสุดแล้วในไตรมาส 3 จากราคาพลังงานที่ชะลอลง แต่เงินเฟ้อสูงได้ขยายวงกว้างไปยังราคาหมวดอื่น และเริ่มเห็นการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตไปยังราคาผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับสูง
สำหรับภาพรวมของธุรกิจ ยังฟื้นตัวได้ไม่ทั่วถึง ธุรกิจที่ฟื้นตัวเร็วเป็นกลุ่มที่ตอบโจทย์การฟื้นตัวของการบริโภค และสอดรับเมกะเทรนด์โลก ธุรกิจที่ฟื้นตัวช้า เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากราคาโภคภัณฑ์โลกสูง เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และกระแสเมกะเทรนด์ต่างๆ
ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ปรับขึ้นช้ากว่าต่างประเทศ โดยปรับขึ้น 3 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 65 จาก 0.5% เป็น 1.25% ณ สิ้นปีนี้ ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นช้ากว่า และเงินเฟ้อสูงจากปัจจัยอุปทานเป็นหลัก คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย จะทยอยปรับขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 2% ในปี 66
ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะยาว สูงขึ้นตามทิศทางนโยบายการเงิน และสภาพคล่องระบบการเงินโลกตึงตัวขึ้น เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ามากตั้งแต่ต้นปี สาเหตุหลักจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เร่งขึ้นดอกเบี้ย กดดันให้ค่าเงินสกุลต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงเงินบาทอ่อนค่าเร็วในช่วงก่อนหน้า
ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าอยู่ในกรอบ 34.50-35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปีนี้ และ 33.00-34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 66
SCB EIC มองว่า เศรษฐกิจโลกในปี 65 เผชิญความไม่แน่นอนต่อเนื่อง ตั้งแต่เกิดการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน ในไตรมาส 1 ทำให้หลายประเทศกลับมาล็อกดาวน์อีกครั้ง ปัญหาอุปทานคอขวดจึงคลี่คลายได้ช้า ตามด้วยสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซ้ำเติมปัญหาการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานโลก ราคาพลังงานและโภคภัณฑ์โลกสูงขึ้นมาก ทำให้ภาคธุรกิจต้องวางแผนโยกย้ายฐานการผลิต เพื่อสร้างความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
รวมถึงปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลกเร่งตัวสูง ทำให้นโยบายการเงินโลกปรับตึงตัวเร็วมาก ซึ่งจะทำให้อุปสงค์โลกชะลอลงอีกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มีแนวโน้มจะทำให้เงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางต่อไปอีก 1-2 ปี กิจกรรมเศรษฐกิจชะลอลงเป็นวงกว้าง ภาคการผลิตปรับแย่ลง ความเชื่อมั่นภาคเอกชนปรับลดลงใกล้ระดับวิกฤตในอดีต ตัวเลขการจ้างงานเริ่มชะลอลง ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีโอกาสถดถอย (Recession) มากขึ้น โดยบางประเทศหลัก เช่น สหราชอาณาจักร และยุโรป เริ่มเผชิญ Recession ตั้งแต่ปลายปีนี้ ส่วนสหรัฐฯ คาดว่าจะเข้าสู่ Recession ในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า
ขณะที่ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลกยังมีอยู่ต่อเนื่อง ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนไม่จบลงเร็วอย่างที่หลายฝ่ายคาดไว้ ส่งผลให้ปัญหาอุปทานคอขวดยืดเยื้อ ความตึงเครียดระหว่างจีน สหรัฐฯ และไต้หวัน แม้ยังไม่ปะทุรุนแรง แต่จะมีนัยสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์โลกในระยะข้างหน้า ซึ่งไต้หวันเป็นผู้ผลิตหลักของโลก
นอกจากนี้ การแบ่งขั้วระหว่างสหรัฐฯ และจีน (Decoupling) จะเร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ต้องการรักษาระเบียบโลก (International order) รูปแบบเดิมเอาไว้ ส่งผลให้กลุ่มประเทศทั้งสองขั้วจะพึ่งพาตนเองมากขึ้น ส่วนตลาดการเงินโลกในปี 65 ผันผวนสูงมาก เป็นผลจากความไม่แน่นอนของนโยบายและเศรษฐกิจโลก ภาวะการเงินโลกตึงตัวตามทิศทางนโยบายการเงินในโลก ราคาสินทรัพย์เสี่ยงลดลงมากตั้งแต่ต้นปีในภาวะเช่นนี้