นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 24 ในเดือนธ.ค. 65 ภายใต้หัวข้อ "อุตสาหกรรมไทยจะเดินต่ออย่างไร ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว" ซึ่งจากการที่ประเทศเศรษฐกิจหลักของโลก ทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ส่งสัญญาณชัดเจนว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัว จากผลกระทบของสงคราม และปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ แรงกดดันต่อวิกฤตพลังงาน และสถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับองค์การการค้าโลก (WTO) ประเมินการค้าโลก ปี 66 จะชะลอตัวลงเหลือเพียง 1% เท่านั้น จากปี 65 ที่การค้าโลกขยายตัวถึง 3.5%
ทั้งนี้ จากผลกระทบของตลาดส่งออกที่ชะลอตัวทั้งในยุโรป และสหรัฐฯ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่า จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยใน "ระดับปานกลาง" โดยเมื่อถามถึงความกังวลต่อปัจจัยที่ส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอในเรื่องใดนั้น ส่วนใหญ่ตอบว่า ปัญหาต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น จากราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ และอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง เป็นปัจจัยหลักที่กดดันเศรษฐกิจโลก
ขณะที่การปรับตัวเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวนั้น ผู้ประกอบการเห็นว่าจำเป็นต้องเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น (LEAN) และมีการบริหารจัดการสต๊อกสินค้า และบริหารความเสี่ยงทางการเงิน เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวน
ทั้งนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ได้เสนอให้ภาครัฐช่วยดูแลต้นทุนราคาพลังงานให้เหมาะสม และสามารถแข่งขันได้ รวมทั้งเร่งปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ประชาชน
นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่า การพัฒนาเศรษฐกิจตาม BCG Model จะเป็นนโยบายที่สำคัญและมีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยในอนาคต โดยจะก่อให้เกิดอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานสะอาดในการผลิตสินค้า ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ผ่านอุตสาหกรรมการเกษตร ช่วยเพิ่มสินค้าใหม่ๆ ที่ผลิตโดยใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่มีมูลค่าเพิ่มสูงให้กับประเทศ และที่สำคัญจะช่วยดึงการลงทุนเข้าประเทศ
ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นดังกล่าว มาจากผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 226 คน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด