ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสัปดาห์ถัดไป (26-30 ธ.ค.) ไว้ที่ระดับ 34.50-35.00 บาท/ดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออก และรายงานเศรษฐกิจการเงินเดือนพ.ย. ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์โควิดในจีน และการเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชีย
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนต.ค. ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนพ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามสัญญาณและท่าทีต่อทิศทางนโยบายการเงินของผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และข้อมูลกำไรภาคอุตสหกรรมเดือนพ.ย. ของจีนด้วยเช่นกัน
ขณะที่ในรอบสัปดาห์นี้ (19-23 ธ.ค.) เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง โดยเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเงินเยน หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) สร้างความประหลาดใจด้วยการประกาศขยายกรอบการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์รัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปีมาเป็นกรอบ +/- 0.50% (จากเดิม +/- 0.25%) และแม้ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นจะกล่าวว่า การขยายกรอบการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ดังกล่าว ไม่ใช่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ตลาดก็ตีความว่าเป็นการปรับท่าทีไปในเชิงคุมเข้มของธนาคารกลางญี่ปุ่น
ทั้งนี้ เงินบาทลดช่วงบวกลงบางส่วนในช่วงปลายสัปดาห์ หลังจากที่เงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งทำให้มีความกังวลว่า เฟดจะคงส่งสัญญาณนโยบายการเงินแบบคุมเข้มต่อไป
ในวันศุกร์ที่ 23 ธ.ค. 2565 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 34.74 บาท/ดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 34.98 บาท/ดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (16 ธ.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 19-23 ธ.ค. 2565 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1,051 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 25,461 ล้านบาท (ขายสุทธิ 11,794 ล้านบาท และตราสารหนี้ที่หมดอายุ 13,667 ล้านบาท)