นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการลงทะเบียนฯ) ปี 65 ว่า กระทรวงการคลังได้รับผลการตรวจสอบคุณสมบัติจากหน่วยตรวจสอบคุณสมบัติจำนวน 46 แห่ง อาทิ กรมสรรพากร สำนักงานประกันสังคม ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ต่างๆ เป็นต้น เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการประมวลผลของผู้ลงทะเบียนกว่า 19.63 ล้านราย และข้อมูลคู่สมรสและบุตรอีกกว่า 24.88 ล้านราย รวมทั้งสิ้นกว่า 44.51 ล้านราย
ทั้งนี้ การประมวลผลการตรวจสอบคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 มีความครอบคลุมและมีการตรวจสอบที่ละเอียดกว่าโครงการลงทะเบียนฯ ในอดีต เนื่องจากมีการใช้เกณฑ์ครอบครัวเข้ามาพิจารณาเพิ่มเติม จากเดิมที่พิจารณาเฉพาะเกณฑ์บุคคล โดยครอบครัว หมายถึง ผู้ลงทะเบียน คู่สมรสที่จดทะเบียนสมรส และบุตรที่มีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์
นอกจากนี้ มีการเพิ่มเติมคุณสมบัติสำหรับเกณฑ์บุคคล ได้แก่ การมีบัตรเครดิต และภาระหนี้สินของผู้ลงทะเบียน ซึ่งการพิจารณาการตรวจสอบสิทธิครั้งนี้จะมีการตรวจสอบคุณสมบัติตามเกณฑ์บุคคลก่อน หากผ่านแล้วจะตรวจสอบคุณสมบัติของคู่สมรสและบุตรที่มีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ (หากมี) ตามเกณฑ์ครอบครัวในขั้นตอนต่อไป
อย่างไรก็ดี หากพบว่าผู้ลงทะเบียนไม่ผ่านการตรวจสอบตามเกณฑ์ครอบครัว จะถือว่าไม่ผ่านคุณสมบัติและจะไม่ได้รับสิทธิตามโครงการลงทะเบียนฯ ปี 65 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการดำเนินโครงการลงทะเบียนพัฒนาเกณฑ์การคัดกรองเพื่อให้ระบุตัวตนผู้มีรายได้น้อยได้แม่นยำมากขึ้น เป็นการปรับปรุงฐานข้อมูลทั้งหมด ซึ่งจะช่วยให้การใช้งบประมาณมีประสิทธิภาพสูงสุด
นายพรชัย คาดว่า จะสามารถประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนในช่วงปลายเดือนม.ค. 66 ซึ่งกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการเตรียมการ โดยช่องทางที่จะตรวจสอบผลการพิจารณา 3 ช่องทาง ดังนี้
1. ตรวจสอบผลการพิจารณาคุณสมบัติด้วยตนเอง ผ่านทางเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th
2. ตรวจสอบผ่านหน่วยงานรับลงทะเบียนทั้ง 7 หน่วยงาน ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) สำนักงานคลังจังหวัด ที่ว่าการอำเภอทุกอำเภอ สำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร และศาลาว่าการเมืองพัทยา
3. โทรศัพท์สอบถามได้ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และ Call Center โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ผู้ลงทะเบียนที่ผ่านคุณสมบัติตามโครงการปี 65 จะต้องยืนยันตัวตน ณ ธนาคารตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธ.ก.ส. หรือธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันที่ประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติ เป็นต้นไป ดังนั้น จะสามารถใช้สิทธิสวัสดิการผ่านบัตรประจำตัวประชาชนอเนกประสงค์ (Smart Card) ได้ อีกทั้งผู้ที่ได้รับสิทธิจะต้องผูกบัญชีพร้อมเพย์กับหมายเลขประจำตัวประชาชนกับธนาคารใดก็ได้ เพื่อรับสิทธิสวัสดิการอื่นๆ ในอนาคต
สำหรับวันเริ่มใช้สิทธิจะมีการประกาศเป็นทางการอีกครั้ง
ทั้งนี้ ผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในปัจจุบันจะสามารถใช้บัตรได้จนถึงวันสุดท้ายของเดือน ก่อนเริ่มใช้สิทธิของโครงการลงทะเบียนฯ ปี 65 ซึ่งผู้ลงทะเบียนที่ผ่านคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนฯ ปี 65 จะต้องใช้สิทธิสวัสดิการผ่านบัตรประจำตัวประชาชนอเนกประสงค์ (Smart Card) เท่านั้น โดยสวัสดิการหลักต่างๆ คำนึงถึงสวัสดิการที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของผู้มีรายได้น้อย เช่น ค่าอุปโภคบริโภค ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น
อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ลงทะเบียนที่ตรวจสอบผลการพิจารณาคุณสมบัติตามโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 แล้วพบว่าไม่ผ่านเกณฑ์สามารถยื่นเรื่องอุทธรณ์ได้ตามช่องทางและวันที่ ซึ่งกระทรวงการคลังจะประกาศให้ทราบอีกครั้ง
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 1 ม.ค. 66 ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปัจจุบันมีจำนวน 13.22 ล้านราย ซึ่งในปี 65 งบประมาณการที่ได้รับสำหรับสวัสดิการให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ การใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ยังเป็นการกระจายรายได้เข้าสู่ชุมชน เข้าสู่เศรษฐกิจฐานรากโดยตรงอีกทาง เพราะผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้วงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อสินค้าอุปโภค บริโภค และแก๊สหุงต้มกับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ร้านประชารัฐของกองทุนหมู่บ้าน ร้านถุงเงินประชารัฐ และร้านก๊าซหุงต้มชุมชน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ค้ารายย่อยที่มีความเกี่ยวข้องกับชุมชน จึงถือเป็นการกระจายเข้าสู่ร้านค้าชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก
นายพรชัย กล่าวว่า สำหรับโครงการช้อปดีมีคืน ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการของขวัญปีใหม่ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ ซึ่งคาดว่าผลการดำเนินโครงการดังกล่าว จะเป็นไปตามเป้าที่กำหนดที่คาดไว้ โดยจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท อีกทั้งคาดว่าจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) เพิ่มขึ้นประมาณ 0.16% เมื่อเทียบกับไม่มีโครงการดังกล่าว