นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง พันธมิตร หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง โครงการ CARE (Capital Flow in Rubber Industrial Estate) เพื่อบูรณาการการยกระดับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมยางพาราทั้งห่วงโซ่อุปทาน ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
ที่ผ่านมาประเทศไทยถือเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพาราและสินค้ายางพารา เป็นอันดับ 1 ของโลก มีเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยางพารา ทั้งหมด 6 ล้านคน พื้นที่สวนยางกว่า 18 ล้านไร่ มูลค่าการส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพารามากกว่า 680,000 ล้านบาทต่อปี
ดังนั้น การลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงของทุกหน่วยงานในครั้งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะมีส่วนช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรชาวสวนยาง ด้วยการส่งเสริมสินค้าและการบริหารจัดการตามแนวคิด BCG ทำให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการส่งออกสินค้ายางพาราของไทย รวมถึงการให้ความรู้ด้านการบริหารการเงิน การจัดหาเงินทุน การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร และโอกาสทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการทุกระดับ ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง 6 หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งโครงการดังกล่าว จะเป็นต้นแบบให้กับอุตสาหกรรมอื่นของประเทศ ที่ต้องอาศัยเครือข่ายในการขยายผลให้ครอบคลุมทุกซัพพลายเชน สำหรับความร่วมมือดังกล่าว มาจากทั้งภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.), การยางแห่งประเทศไทย (กยท.), บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.), ธนาคารเพื่อการส่งออกแห่งประเทศไทย (EXIM) และนิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง
ด้าน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าฯ ให้ความสำคัญกับการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ ผ่าน 3 แนวทางขับเคลื่อนหลักขององค์กรที่ประกอบด้วย ด้านการค้า การลงทุน ด้านเกษตรและอาหาร และด้านการท่องเที่ยวและบริการ
ทั้งนี้ ในด้านการเกษตร หอการค้าไทยมุ่งมั่นที่จะช่วยยกระดับภาคการเกษตรให้สามารถเพิ่มผลผลิต สร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ สามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็งไปพร้อมกัน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ในการสร้างโอกาสแก่ผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านสถาบันการเงิน
นายสนั่น กล่าวว่า โครงการ CARE ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างความร่วมมือ และส่งเสริมแนวทางความช่วยเหลือกับผู้ประกอบการ SME โดยเฉพาะยางพาราที่จัดเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่สามารถแปรรูปและต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้หลากหลาย สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก และถือเป็นพืชเศรษฐกิจสีเขียว (Green commodity) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับแนวทาง BCG Model และ Sustainable ที่เป็นวาระสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล
"หอการค้าฯ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน โครงการ CARE ที่จะนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการ และประเทศไทย ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน และเชื่อว่าความร่วมมือกันของทุกหน่วยงานในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับประเทศไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางด้านอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง ที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยอีกแห่งหนึ่งของโลกได้" นายสนั่น กล่าว
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ความร่วมมือของภาครัฐคู่ขนานกับภาคเอกชนในครั้งนี้ จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดในมิติต่างๆ ทั้งการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร โอกาสทางธุรกิจ และเงินทุนของผู้ประกอบการทั้งระดับนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งเป็นคนตัวเล็กในโลกธุรกิจ โดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยางพารา ที่จะสามารถเข้าถึงสินเชื่อ วงเงินตั้งแต่ 5 แสนบาท-5 ล้านบาท โดยไม่ต้องมีหลักประกัน ด้วยการใช้ Transaction Based เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์การปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยเติมเต็มการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราให้เติบโตอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ด้าน นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. กล่าวว่า ที่ผ่านมา บสย. เข้าไปช่วยค้ำประกันสินเชื่อให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยางมากกว่า 9,600 ราย คิดเป็นวงเงินค้ำประกันสินเชื่อรวมมากกว่า 18,000 ล้านบาท
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ บสย. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มอุตสาหกรรมยางพารา และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ได้ประมาณ 500 ราย คิดเป็นวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ 1,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการต่อยอดให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยางพาราตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ และขยายผลไปยังอุตสาหกรรมอื่นต่อไปในอนาคต
นายสิทธิกร กล่าวต่อว่า โครงการ CARE จะมีส่วนช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานของยางพาราและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากระบบสถาบันการเงินได้มากขึ้นในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของของอุตสาหกรรมยางพาราของไทย ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง