นายโดมินิก สเตราส์-คาห์น ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยว่า มีข้อมูลบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกกำลังพุ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งท้าทายสำหรับรัฐบาลของประเทศทั่วโลกในยามที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง
"อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในยามที่เศรษฐกิจะชะลอตัวลงเช่นนี้ หลายประเทศต้องใช้ยุทธวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งยุทธวิธีที่ว่านี้คาบเกี่ยวกับระหว่าง "ยุทธวิธีเชิงรุกและเชิงรับ" มีข้อมูลมากมายบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะกลับมาสูงขึ้นและนี่เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง " นายสเตราส์-คาห์นกล่าว
ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟกล่าวว่า "ราคาอาหารพุ่งขึ้นไปแล้วกว่า 48% นับตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งส่งผลกระทบต่อความพยายามในการลดจำนวนคนยากจน ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟมองว่าแนวทางการแก้ไขในระยะสั้นอาจทำได้ด้วยการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ประเทศยากจนเพื่อนำไปซื้ออาหาร แต่ในระยะยาวนั้น ทุกประเทศจะต้องร่วมงานกันเพื่อขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งอาหาร"
นายสเตราส์-คาห์น ย้ำว่า ไอเอ็มเอฟยังคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวเพียง 0.5%เท่านั้นในปีนี้ และภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐจะฉุดรั้งเศรษฐกิจโลกให้ทรุดตัวลงด้วย แม้แต่ประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งก็ตาม
เมื่อวานนี้ ไอเอ็มเอฟประกาศลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกลงสู่ระดับ 3.7% และคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวเพียง 0.5% เท่านั้นในปีนี้ ซึ่งต่อมาสหรัฐได้แสดงความไม่พอใจต่อการคาดการณ์ดังกล่าว โดยนายเดวิด แมคคอร์มิค รมช.คลังฝ่ายกิจการระหว่างประเทศของสหรัฐกล่าวว่า การคาดการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ไอเอ็มเอฟมีมุมมองที่เป็นลบมากเกินไปและประเมินเศรษฐกิจสหรัฐต่ำกว่าความเป็นจริง
"สหรัฐทราบมาโดยตลอดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศตกต่ำลง ตลาดการเงินก็เผชิญกับปัญหา ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อสูงขึ้น แต่การที่ไอเอ็มเอฟออกมาคาดการณ์เช่นนี้ เป็นการคาดการณ์ที่รุนแรงเกินไปและยังต่ำกว่าความเป็นจริง" นายแมคคอร์มิคกล่าว สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียลรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--