สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เร่งพิจารณาแนวทางในการรักษาสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมชุดที่ไม่มีผู้ประมูล หลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งยกคำขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว กรณีการประมูลสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม ที่ประมูลไปเมื่อ 15 มกราคม 2566
โดยมื่อวันที่ 20 มกราคม 2566 ศาลปกครองกลางได้ให้คู่กรณีทุกฝ่ายได้มีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งสำนักงาน กสทช. ได้แจงว่า การดำเนินการประมูลได้ทำตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งความพยายามในการแก้ไขปัญหา หลังจากที่ กสทช. ชุดที่ผ่านมา ได้ยกเลิกการประมูลเมื่อ 18 สิงหาคม 2564 เนื่องจากมีผู้ประกอบการเข้าร่วมเพียงรายเดียว จึงได้ปรับปรุงประกาศให้เปิดกว้าง โปร่งใสและเป็นธรรม โดยคงหลักการกำหนดราคาขั้นต่ำเช่นเดิม เพื่อให้มีผู้ร่วมแข่งขันให้มากที่สุด ซึ่งหากการทำธุรกิจดังกล่าวได้รับผลตอบแทนอย่างที่มีการกล่าวอ้าง ทำไมทั้ง 6 บริษัทที่มีสิทธิร่วมแข่งขันจึงเข้าร่วมประมูลเพียง 3 บริษัท ในการนี้ผู้ประกอบการต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ดังเช่น บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ได้มีการวิเคราะห์ความเหมาะสมในการลงทุนของแต่ละชุดก่อนการประมูล พบว่าการร่วมประมูลในชุดที่ 4 มีความเหมาะสมต่อองค์กรมากที่สุด
นอกจากนี้ธุรกิจดาวเทียมปัจจุบันไม่ใช่ธุรกิจที่ผูกขาดภายใต้ระบบสัมปทานเหมือนในอดีต ประเทศไทยต้องแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ ที่ต่างชาติต้องการมาทำธุรกิจในประเทศไทยเช่นกัน ซึ่ง กสทช.คงต้องพิจารณาในบางกรณีเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีที่สุด โดยที่ต้นทุนดาวเทียมต่างชาติในหลายประเทศมีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอกชนได้ใช้สิทธิดังกล่าว เพื่อมาทำตลาดต่างประเทศและนำรายได้เข้าประเทศตนเอง เช่น ประเทศจีนหรือเขตบริหารพิเศษฮ่องกง แต่ในขณะที่ประเทศไทย ผู้ประกอบการนอกจากมีต้นทุนจากการประมูลแล้ว ในแต่ละปีต้องส่งให้รัฐ โดยคิดจากรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย ได้แก่ ค่าอนุญาตใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม ร้อยละ 0.25 ค่าธรรมเนียม USO ร้อยละ 2.5 ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ไม่เกินร้อยละ 1.5 และค่าธรรมเนียมการใช้คลื่นวิทยุคมนาคมขึ้นกับปริมาณการใช้คลื่นความถี่ ดังนั้นประเทศไทยควรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้เช่นกัน
ที่สำคัญสิ่งที่ สำนักงาน กสทช. ต้องเร่งพิจารณา คือ สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมชุดที่เหลือ จะดำเนินการอย่างไร เนื่องจากตามข้อบังคับวิทยุของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) สิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิที่ประเทศไทยได้รับแบบมีเงื่อนไข โดยที่ประเทศอื่นสามารถเรียกร้องสิทธิดังกล่าวได้ หากประเทศไทยไม่มีการใช้งานจริง ซึ่งต่างจาก คลื่นความถี่ ที่แม้ว่าจะไม่มีการใช้งานจริง ดังเช่น คลื่นความถี่ ย่าน 1800 MHz ที่ กสทช.เคยประมูลแล้ว แต่ไม่มีผู้เข้าร่วมประมูลนั้น ยังไม่ส่งผลกระทบมาก เนื่องจากคลื่นความถี่ดังกล่าว ยังคงเป็นสมบัติของชาติ ที่ประเทศอื่นไม่สามารถมาใช้งานหรือเรียกร้องสิทธิได้ ดังนั้นในประเด็นนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องหาแนวทางในการรักษาไว้ซึ่งสิทธิดังกล่าว เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ต่อไป