นักวิชาการชี้วิกฤตคอร์รัปชั่นวงการศึกษาถ่วงอนาคตคนไทย พร้อมจี้รัฐลดค่าไฟช่วยธุรกิจแข่งขันได้

ข่าวเศรษฐกิจ Sunday February 5, 2023 16:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาการศึกษา และอดีตผู้อำนวยการสำนักพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติการคอร์รัปชันในวงทางการศึกษาทำให้พลเมืองไทยในอนาคตอ่อนแอลง พร้อมกับวิกฤติการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจในกิจการพลังงานทำให้ค่าไฟฟ้ามีราคาแพงกว่าปรกติมากๆ ค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (Economic Rent) นี้เป็นผลตอบแทนส่วนเกินที่เกิดจากนโยบายหรือมาตรการของรัฐบนต้นทุนของประชาชน และ ยังก่อให้เกิดการสูญเสียประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจอย่างมาก หากไม่ได้รับการแก้ไขโดยด่วนจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว

ค่าไฟฟ้าควรลดลงมาอยู่ในระดับ 2.5-3.5 บาทต่อหน่วยกิโลวัตต์ชั่วโมงในระยะยาว เฉพาะหน้าระยะสั้นต้องกดต้นทุนค่าไฟฟ้าไม่ให้สูงกว่า 4 บาทต่อหน่วย ไม่ใช่ค่าไฟฟ้าอยู่ที่ระดับ 5.33 บาทต่อหน่วยเช่นในปัจจุบันเพราะจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะธุรกิจอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเข้มข้น จะทำให้ผู้ผลิตในไทยมีความสามารถในแข่งขันด้อยลงขณะที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าแพงขึ้น เทียบกับประเทศอาเซียนที่มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน ไทยก็มีค่าไฟฟ้าที่แพงกว่ามาก ราคาค่าไฟฟ้าในอินโดนีเซียอยู่ที่ 3.22 บาทต่อหน่วยกิโลวัตต์ชั่วโมง เวียดนามอยู่ที่ 2.74 บาทต่อหน่วย มาเลเซียอยู่ที่ 1.78 บาทต่อหน่วย ส่วนลาวอยู่ที่ 1.19 บาทต่อหน่วย เมียนมาอยู่ที่ 1 บาทต่อหน่วยกิโลวัตต์ชั่วโมง

หลักการของนโยบายของกิจการพลังงาน ก็คือ เราต้องพัฒนาประชาธิปไตยพลังงานลดต้นทุนส่วนเกินพลังงานไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยี Virtual Distributed Power Plant หรือ โรงงานไฟฟ้าเสมือนจริงกระจายศูนย์ ด้วยพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก และทบทวนสัญญาสัมปทานการผลิตไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรมทั้งหมด

ส่วนการทุจริตคอร์รัปชันในระบบการศึกษา ตั้งแต่การซื้อขายงานวิจัยเพื่อตำแหน่งทางวิชาการก็ดี ทุจริตค่าอาหารโรงเรียนและสวัสดิการทางการศึกษาก็ดี การทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างจัดหาในสถานศึกษาก็ดี การผูกขาดอำนาจและการสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ในสถาบันอุดมศึกษาก็ดี สิ่งนี้ได้ทำลายการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพของเยาวชนและเด็กๆผู้เป็นอนาคตของชาติ ปิดกั้นความสามารถในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของสังคมไทย ต้องหยุดยั้งปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในระบบการศึกษาด้วยการเปลี่ยนระบบการงบประมาณและระบบการเงินเพื่อการศึกษาเสียใหม่

โดยเปลี่ยนจากระบบ Supply-Side Financing มาเป็น Demand-Side Financing คือ เปลี่ยนการอุดหนุนงบประมาณสวัสดิการทางการศึกษาทุกประเภทและค่าอาหารกลางวันนักเรียน ผ่าน "โรงเรียน" ผ่านผู้บริหารโรงเรียน เป็น การอุดหนุนหรือจ่ายผ่าน"สถาบันครอบครัวหรือผู้ปกครองหรือตัวนักเรียน" โดยตรง ในรูป บัตรสวัสดิการการศึกษา หรือ คูปองทางการศึกษา แนวทางหลัก คือ การสร้างประชาธิปไตยทางการศึกษา และส่งเสริมประชาธิปไตยในสถานศึกษาลดคอร์รัปชันในโรงเรียน

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า กฎหมาย พระราชบัญญัติแผนการศึกษาชาติฉบับที่กำลังพิจารณากันอยู่ในรัฐสภานั้นจะไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤติในระบบการศึกษาได้ในหลายมิติ เพราะอยู่บนฐานความคิดแบบรวมศูนย์ไม่กระจายอำนาจ ไม่สร้างระบบการศึกษาแบบหลากหลายทางเลือก มุ่งผลิตบุคลากรเพื่อรับใช้ระบบที่ดำรงอยู่มากกว่าผลิตพลเมืองที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมทั้งยังไม่ตอบโจทย์พันธสัญญาที่ไทยให้ไว้กับประชาคมโลกเพื่อให้เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน การทำเช่นนั้นได้ต้องไม่ใช่แค่ผลิตพลเมืองที่มีจิตสำนึกและคุณภาพเพื่อไทยเท่านั้น แต่ต้องผลิตพลเมืองโลกที่มีจิตสำนึกสากลและมีคุณภาพเพื่อมนุษยชาติโดยรวมด้วย

ประเมินในเบื้องต้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในระยะ 5 ปีแรกของแผนการศึกษาแห่งชาตินั้น ยุทธศาสตร์เป้าหมาย แผนการดำเนินการล้วนสะดุดมาอย่างต่อเนื่องทั้งจากความไม่ชัดเจนของนโยบายการศึกษาของรัฐมนตรีแต่ละท่านที่มีการปรับเปลี่ยนบ่อยครั้ง มีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีศึกษาบ่อยครั้ง และสะดุดลงอย่างหนักสุดจากวิกฤตการณ์โควิดนโยบายการยุบโรงเรียนขนาดเล็กมารวมเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่เพื่อสามารถจัดการทรัพยากรทางการศึกษาได้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นไม่บรรลุผลอย่างตั้งเป้าหมายเอาไว้ เพราะขาดการดำเนินงานอย่างครบถ้วนและมองปัญหาอย่างรอบคอบทุกมิติ

การยุบโรงเรียนขนาดเล็กต้องมาพร้อมกับการจัดสรรงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทางให้ครอบครัวยากจนหรือรายได้น้อยและการเตรียมพร้อมทางด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการนำพื้นที่และอาคารของโรงเรียนที่ถูกยุบนำมาพัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ของชุมชน ศูนย์ศึกษาตามอัธยาศัย การ Reskill/Upskil หรือใช้เพื่อประโยชน์ต่อชุมชนด้านอื่นๆ ครอบครัวจำนวนไม่น้อยไม่สามารถมีเงินเพียงพอในการจ่ายค่าเดินทางให้กับบุตรหลานที่ต้องมาเรียนไกลจากชุมชนมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหามากขึ้นจากการยุบโรงเรียนขนาดเล็กมารวมเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่

การโอนย้ายโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการในส่วนการศึกษาขั้นพื้นฐาน มายังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็มิได้เป็นตามเป้าหมายมากนักและล่าช้ามาก เพราะแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังห่วงผลประโยชน์และอำนาจของตัวเองมากกว่าห่วงถึงคุณภาพของการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ต้องผลิตคนให้เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนและท้องถิ่นมากขึ้น เมื่อไม่มีการโอนโรงเรียนมายังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากนัก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางส่วนจึงจัดตั้งโรงเรียนเอง ก่อให้เกิดการซ้ำซ้อนและการใช้ทรัพยากรโดยรวมของชาติไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

แนวโน้มที่เกิดขึ้นระดับพื้นที่หลายแห่ง คือนักเรียนทยอยย้ายมาเรียนโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นตามลำดับ และขณะนี้เององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนหนึ่งก็ยังขาดแคลนงบประมาณอันเป็นผลจากการเลื่อนการกระจายอำนาจทางการคลังและการไม่บังคบใช้จัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามอัตราปรกติ

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งในเวลานี้ก็คือ โรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล ขาดแคลนน้ำดื่มสะอาดและอาหารกลางวันที่ไม่มีคุณภาพอันเป็นผลจากการทุจริตในโรงเรียน รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมและเปลี่ยนเป็นการใช้อุดหนุนผ่านสถาบันครอบครัว ทำให้คณะกรรมการบริหารสถานศึกษาประกอบไปด้วยผู้แทนหลากหลายที่มีคุณภาพ การกระจายอำนาจในการจัดการศึกษาจึงเป็นเพียง "แผนงาน" ที่อยู่ในเอกสารแผนการศึกษาชาติ หาใช่ "การปฏิบัติที่เป็นจริง"

ส่วนการบริหารโรงเรียนในรูปแบบคณะกรรมการสถานศึกษานั้นมีความคืบหน้าแต่เราต้องการคณะกรรมการที่ทำงานเต็มเวลาหรือมีเวลาทุ่มเทให้สถานศึกษาอย่างจริงจัง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่งานอาสาจึงควรจัดค่าตอบแทนที่เหมาะสมให้กับผู้ปกครองหรือนักวิชาการที่เสียสละมาทำหน้าที่คณะกรรมการสถานศึกษาด้วย ตัวชี้วัดต่างๆที่อยู่ในแผนระยะ 5 ปีแรก (พ.ศ. 2560-2565) ของแผนการศึกษาชาติ (พ.ศ. 2560-2579) จึงบรรลุตามเป้าหมายไม่ถึง 40-50% ไม่ว่าจะเป็นมิติการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพ(Access) มิติความเท่าเทียมทางการศึกษา (Equity) มิติคุณภาพการศึกษา (Quality) มิติประสิทธิภาพ(Efficiency) มิติการตอบโจทย์บริบทที่เปลี่ยนแปลง (Relevancy)

ในส่วนการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ 10 ข้อ(หากพิจารณาจากแผนเดิม 15 ปี) และ ยุทธศาสตร์ 6 ข้อ (ตามแผนที่มีแก้ไขเพิ่มเติมเป็น 20 ปี) นั้นพบว่ามีเพียงยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย มีแผนการดำเนินการที่มีความคืบหน้าระดับหนึ่ง ส่วนยุทธศาสตร์อื่นๆ เช่น ยุทธศาสตร์การสร้างโอกาสความเสมอภาคทางการศึกษาก็ดี ยุทธศาสตร์การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการศึกษาก็ดี ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็ดี ยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนากำลงคนการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศก็ดี ล้วนไม่มีความคืบหน้าและยังห่างไกลการบรรลุเป้าหมายตามกรอบเวลา

ความอ่อนแอลงของระบบการศึกษาไทยจะเป็นปัจจัยสำคัญในการถ่วงรั้งให้ประเทศไทยรั้งท้ายที่สุดในเอเชียตะวันออก (ยกเว้น พม่า เขมรและเกาหลีเหนือ) หลังยุคโควิดภายใต้เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจบนฐานความรู้และการวิจัยนวัตกรรม

นายอนุสรณ์ ยังคาดการณ์อีกว่า สถานศึกษาระดับการศึกษาพื้นฐานและสถาบันอุดมศึกษาเอกชนอาจปิดกิจการเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่งจากปั ญหาโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีประชากรเด็กลดลงอย่างมีนัยยสำคัญ ปัญหาจะถึงจุดวิกฤติแล้วในขณะนี้ สถานศึกษาเอกชนแห่งถูกกลุ่มทุนต่างชาติโดยเฉพาะจีนเข้าครอบงำกิจการหรือถือหุ้นซึ่งในแง่นโยบายไม่ควรปิดกั้น ควรเปิดกว้างแต่ต้องกำกับเนื่องจากการศึกษาเป็นสินค้าบริการที่เกี่ยวข้องกับการเมือง วัฒนธรรมความเชื่อและสังคมอย่างมาก จึงต้องกำกับให้เหมาะสมจึงเกิดผลดีต่อสังคมในระยะยาว

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติทางการศึกษาดังกล่าว จึงมีข้อเสนอดังต่อไปนี้

  • ข้อเสนอที่หนึ่ง

หยุดยั้งการทุจริตคอร์รัปชันในระบบการศึกษาด้วยการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการงบประมาณใหม่ เป็นDemand-Side Financing มากขึ้นและทำการอุดหนุนสวัสดิการการศึกษาต่างๆผ่าน สถาบันครอบครัว ผ่านนักเรียน เป็นหลัก โดยเฉพาะระบบการจัดซื้อจัดหาอาหารของโรงเรียนจะต้องได้อาหารที่มีคุณภาพ อาหารคุณภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็กนักเรียนทุกๆคน

  • ข้อเสนอที่สอง

ขยายพื้นที่การให้บริการของการประปาส่วนภูมิภาคเพื่อให้เด็กๆมีน้ำสะอาดในการอุปโภคบริโภค(ดื่มและใช้)และจัดงบประมาณค่าเดินทางให้กับนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากการยุบโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ชุมชนให้สามารถเดินทางมาเรียนได้โดยไม่มีอุปสรรคจากฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว

  • ข้อเสนอที่สาม จัดสรรเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ

สำหรับสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึงสถาบันระดับอุดมศึกษาที่มีปัญหาสภาพคล่องและเตรียมปิดกิจการให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ และ ต้องมีการเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวให้นักเรียนเอกชน รวมทั้งมาให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและสิทธิประโยชน์ในการลงทุนเพื่อให้มีการควบรวมสถานศึกษาให้มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือลดหย่อนภาษีสำหรับการขายกิจการสถานศึกษาเพื่อให้มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาฟื้นฟูกิจการ

  • ข้อเสนอที่สี่ จัดตั้งกองทุนขนาด 2,000 ล้านบาทใหม่เพิ่มเติมหรือใช้กลไกกองทุนทางการศึกษาที่มีอยู่แล้วเพื่อช่วยเหลือบุคลากรทางการศึกษาเพื่อให้ชะลอการเลิกจ้าง หรือกรณีถูกเลิกจ้างจากการเลิกกิจการโรงเรียนเอกชนหรือโรงเรียนของรัฐขนาดเล็กที่ถูกยุบรวมให้มีเงินทุน
ในการประกอบอาชีพอย่างอื่นหากไม่ประสงค์ทำงานในระบบการศึกษาอีกต่อไป และให้ใช้ประโยชน์จากกองทุนนี้ในการให้ "ทุนการศึกษา"ให้กับบรรดาครูอาจารย์ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในการศึกษาในขั้นสูงขึ้น ช่วยสนับสนุนทางการเงินต่อโรงเรียนเอกชนที่ยังมีหน้าที่ทางสังคมและหน้าที่ต่อสาธารณชนโดยที่กลไกของรัฐไม่สามารถดำเนินการได้ เช่น โรงเรียนสำหรับคนจนในเมืองใหญ่หรือชุมชนแออัด
  • ข้อเสนอที่ห้า ควรสนับสนุนระบบการศึกษาตามอัธยาศัยและการศึกษา การฝึกอบรมทุกช่วงวัยผ่านระบบสื่อสารมวลชนผ่านระบบ On-Air และ ระบบ Online และ Streamingอโดยเฉพาะผ่านสื่อสาธารณะอย่าง ไทยพีบีเอส (Thai PBS) และ เอแอลทีวี (ALTV) หรือ ผ่าน
องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) นั่นเอง
  • ข้อเสนอที่หก ควรถ่ายโอนอำนาจการจัดการศึกษาระดับประถมวัยให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความพร้อม มีความจำเป็นต้องทบทวนแผนการศึกษาชาติใหม่ โดยนำเอายุทธศาสตร์จากแผนการศึกษาชาติฉบับ 15 ปีที่ถูกตัดทิ้งไปให้นำกลับมาพิจารณาใหม่ ไม่ว่า จะเป็น
ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการระบบข้อมูลและสารสนเทศเพื่อการศึกษา ยุทธศาสตร์การกระจายอำนาจไปสู่สถานศึกษา ในยุทธศาสตร์มีการเสนอแผนดำเนินการให้ โรงเรียนของรัฐมีสภาพเป็น "นิติบุคคล" ได้ ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของสังคม ยุทธศาสตร์การปรับระบบและกลไกในการบริหารงานบุคคล มีเสนอให้มี ระบบครูสัญญาจ้างที่สามารถจ่ายค่าตอบแทนสูงเพื่อดึงดูดบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานมากขึ้น
  • ข้อเสนอที่เจ็ด ใช้งบประมาณที่มีอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ ในการจัดการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อชดเชยการปิดโรงเรียนหรือการเรียนออนไลน์อย่างไม่มีคุณภาพ หลังจากการแพร่ระบาดโควิดมีทิศทางดีขึ้นอย่างชัดเจน
  • ข้อเสนอที่แปด

ทางกระทรวงศึกษาธิการน่าจะต้องจัดตารางการเรียนการสอนใหม่เพื่อให้เด็กสามารถตามบทเรียนที่พร่องไปจากการเรียนออนไลน์เป็นเวลานานในวิชาที่ต้องใช้ "ทักษะ" และการปฏิบัติจริงในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียน โดยจำเป็นต้องเพิ่มชั่วโมงเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ ภาษา คณิตศาสตร์ และการทักษะทางด้านอาชีพ รวมทั้ง วิชาหน้าที่พลเมืองและสังคมศาสตร์

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า องค์กรระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น องค์กร Unicef สหประชาชาติ ธนาคารโลก (World Bank) ได้ให้ความเห็นตรงว่า ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในไทยนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา บทบาทของ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาและ กยศ ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพให้กับนักเรียนนักศึกษาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาที่ยากจนมีประสิทธิภาพและครอบคลุมกว้างยิ่งขึ้น มีความจำเป็นในการต้องปฏิรูประบบการเงินเพื่อสนับสนุนการศึกษาอย่างมียุทธศาสตร์และบูรณาการผ่านระบบการให้ทุนการศึกษา และต้องเพิ่มงบทุนการศึกษาให้เพียงพอโดยเฉพาะทุนการศึกษาในการเรียนสาขาวิชาชีพต่างๆ

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตประธานอนุกรรมการจัดทำแผนการศึกษาแห่งชาติฯ กล่าวอีกว่า แผนการศึกษาแห่งชาติในฉบับที่ตนเป็นประธานกรรมการยกร่าง (แผนการศึกษาชาติ 15 ปีซึ่งต่อมาปรับเป็น20 ปี) นั้นได้ให้ความสำคัญกับประเด็นการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ทำให้เกิดความเสมอภาคทางการศึกษามากขึ้นและถือเป็นเป้าหมายสำคัญของแผนการศึกษาชาติ

ในส่วนของแผนการศึกษาชาติที่เป็นแผนปฏิบัติการ ได้เสนอสวัสดิการการศึกษาสำหรับนักเรียนที่ยากจนหรือการขยายโอกาสทางการศึกษาให้เด็กในครอบครัวที่ยากจนโดยให้ "แต้มต่อ" ให้กับเด็กยากจนด้วยมาตรการ CCT (Conditional Cash Transfer) เงินโอนที่มีเงื่อนไขให้เด็กได้เรียน ซึ่งต่อมาได้พัฒนาไปเป็น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

อย่างไรก็ตาม โอกาสเรียนระดับอุดมศึกษาของเด็กยากจนมีไม่มากเปรียบเทียบกับเด็กในครัวเรือนรวยหรือฐานะปานกลาง ผลการศึกษาวิจัยยังพบว่า การลงทุนในเด็ก Investment in Children ครัวเรือนรวยลงทุนในเด็กสูงกว่าครัวเรือนยากจน หลายเท่าตัว 5-10 เท่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ ระบบการผลิต สังคมและชีวิตของผู้คน นอกจากนี้ Disruptive Technology ยังส่งผลต่อระบบการศึกษาที่จำเป็นต้องมีการปรับตัวพลิกโฉมครั้งใหญ่และสถาบันการศึกษาจำเป็นต้องปรับตัวให้เท่าทันต่อพลวัตดังกล่าว กองทุนต่างๆในระบบการศึกษาไทยต้องปรับตัวตามพลวัตเหล่านี้ด้วยงบประมาณควรถูกกระจายไปที่สถานศึกษาโดยตรงมากขึ้น มีการปรับเปลี่ยนระบบการจัดสรรเงินจากด้านอุปทาน มาเป็น ด้านอุปสงค์มากขึ้น โดยจะจัดสัดส่วนที่เหมาะสม

จัดตั้งกองทุนเงินให้เปล่าผลักดันให้มีการจัดตั้งหน่วยงานกลางด้านการบริหารและจัดการระบบข้อมูลและสารสนเทศปรับโครงสร้างการบริหารราชการตามแนวทางการกระจายอำนาจไปสู่สถานศึกษา เปลี่ยนสถานศึกษาที่มีความพร้อมให้เป็นนิติบุคคลแยกบทบาทของรัฐในฐานะผู้กำกับและบทบาทในฐานะผู้จัดการการศึกษาให้ชัดเจน ปรับระบบให้มีการจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัวที่สะท้อนคุณภาพมาตรฐาน ส่งเสริมสนับสนุนให้เอกชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาในลักษณะ Chartered School มากขึ้น จัดตั้งสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรและการเงินเพื่อการศึกษา ปรับหลักสูตร กระบวนการการเรียนการสอนให้มีความยืดหยุ่น หลากหลาย เพิ่มการเรียนรู้ จัดตั้งสถาบันพัฒนากรรมการสถานศึกษา การยกระดับคุณวุฒิกำลังแรงงาน เป็นต้น

"การสร้างระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นกลไกหลักของการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของทุนมนุษย์ และรองรับการศึกษา การเรียนรู้ และความท้าทายที่เป็นพลวัตของโลกศตวรรษที่ 21 ต้องการได้พลเมืองของประเทศและของโลกที่เป็น คนเก่ง คนดี และมีความสุข"

โดยมีเป้าหมายของการพัฒนาการศึกษา 5 ประการ ได้แก่ 1) การเข้าถึง (Access) 2) ความเท่าเทียม (Equity) 3) คุณภาพ (Quality) 4) ประสิทธิภาพ (Efficiency) และ 5) ตอบโจทย์บริบทที่เปลี่ยนแปลง (Relevancy) ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม (Inclusive Growth)ที่พลเมืองส่วนใหญ่มีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ภายใต้บริบทของการจัดการศึกษาเพื่อความเท่าเทียมและทั่วถึง (Inclusive Education) รวมทั้งการสร้างสังคมแห่งปัญญา (Wisdom ? Based Society) การส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ (Lifelong Learning) และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ (Supportive Learning Environment) เพื่อให้พลเมืองสามารถเรียนรู้และแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตรวมทั้งสามารถยกฐานะและชนชั้นทางสังคม อันนำไปสู่การสร้างความผาสุขร่วมกันในสังคมของชนในชาติและลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ของชนชั้นต่าง ๆ ในสังคมให้มีความทัดเทียมกันมากขึ้น

นาย อนุสรณ์ กล่าวอีกว่าการศึกษาเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญปัจจัยหนึ่งที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและ ยั่งยืน การพัฒนาการศึกษาสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 มิติใหญ่ๆ ได้แก่

1. มิติด้านปริมาณ ซึ่งหมายรวมถึง การพัฒนาความสามารถในการเข้าถึงการศึกษา (Mankiw, Romerand Weil, 1992) และการเพิ่มจำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยให้กับนักเรียน/นักศึกษา เพื่อที่จะได้รับความรู้ที่มากเพียงพอในการสนับสนุนการทำงานในอนาคต (Barro and Lee, 1993)

2. มิติด้านคุณภาพ ซึ่งหมายถึง คุณภาพการเรียน การสอน ที่ทำให้เด็กมีทักษะที่เข้มข้นและสอดคล้องกับการที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ในอนาคต (Hanushek and WoBmann, 2007)

3. มิติด้านความเหลื่อมล้ำ ซึ่งหมายถึง ความแตกต่าง ในผลลัพธ์ของการศึกษาซึ่งเป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆที่มากกว่าแค่คุณภาพของการเรียนการสอน แต่ครอบคลุมไปถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่ปัจจัยเฉพาะของนักเรียนแต่ละคน ปัจจัยทางด้านครอบครัว ไปจนถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา แนวทางการแก้ไขปัญหาการศึกษาที่ดี ควรที่จะต้องมีการพัฒนาในทั้ง 3 มิติไปพร้อมๆ กัน

เนื่องจากการแก้ไขปัญหาในมิติเชิงปริมาณเพียงอย่างเดียว โดยไม่เน้นคุณภาพอาจจะได้แรงงานที่จบมาแล้วมีทักษะที่ไม่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน การทุ่มทรัพยากรเพื่อแก้ไขปัญหาทางด้านความเหลื่อมล้ำเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็นการตัดโอกาสในการพัฒนากลุ่มเด็กที่มีศักยภาพที่สูง เช่นเดียวกัน การพัฒนาในมิติเชิงคุณภาพโดยไม่ได้พิจารณาในมิติความเหลื่อมล้ำ เช่น การพัฒนาคุณภาพของแต่ละโรงเรียนอย่างเป็นเอกเทศ อาจจะทำให้เกิดความแตกต่างของผลการเรียนของแต่ละโรงเรียน ซึ่งทำให้คุณภาพของผลลัพธ์ทางการศึกษามีความแตกต่าง กันมาก และนำไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมในที่สุด

เมื่อย้อนกลับมาดูสถิติและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของไทย จะพบว่า ประเทศไทยยังคงมีปัญหาทั้ง 3 มิติ โดยข้อมูลสถิติจากธนาคารโลก บ่งชี้ถึงช่องว่างในการเข้าถึงการศึกษาในระดับชั้นปฐมศึกษา โดยมีเพียงร้อยละ 93 ของ เด็กในวัยเรียนที่เข้าถึงการศึกษาในระดับชั้นดังกล่าว งานวิจัยของ Prasartpornsirichoke and Takahashi (2013) บ่งชี้ถึงความสำคัญของการขยายการเข้าถึงการศึกษาให้ครอบคลุม ถึงระดับชั้นมัธยม ข้อมูลจำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยของประชากรของประเทศจากฐานข้อมูลของ Barro and Lee (2013) พบว่าประชากรวัยทำงานของไทยมีจำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยอยู่ที่ 7.3 ปี ซึ่งยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว (ซึ่งมีจำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยอยู่ที่ 11.05 ปี) ถึง 3.75 ปี

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ในด้านคุณภาพของการศึกษาไทย ข้อมูลผลการประเมินความรู้ของนักเรียนในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ภายใต้โครงการ TMISS (The Trends in International Mathematics and Science Study) ในหลายปีที่ผ่านมา พบว่าความสามารถของเด็กนักเรียนไทยในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และมัธยมศึกษาต้นจำนวนมากถูกจัดในระดับแย่ (Poor) และ ในปีนี้และปีหน้าคงจะแย่ลงกว่าระดับที่เป็นอยู่อีกจากการเรียนออนไลน์ที่ไม่มีคุณภาพ

สำหรับปัญหาทางด้านความเหลื่อมล้ำในการศึกษาของไทยนั้นรุนแรงกว่าที่เราคิดมาก และเรายังไม่มีองค์ความรู้ในการเข้าใจมันเพราะยังไม่พบว่ามีงานวิจัยที่มุ่งเน้นในการทำความเข้าใจถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาโดยตรง งานวิจัยที่พบโดยมากจะมุ่งเน้นที่ความเหลื่อมล้ำในแง่ของการเข้าถึงการศึกษา ซึ่งได้ถูกสะท้อนเป็นประเด็นทางด้านเชิงปริมาณเป็นหลักเท่านั้น

ปัญหาวิกฤติทางการศึกษาบางส่วนสามารถแก้ไขได้ด้วยการกระจายอำนาจ กระจายงบประมาณทางการศึกษาไปยังพื้นที่ต่างๆมากขึ้น และ ลดสายบังคับบัญชาในกระทรวงศึกษาธิการลงมาให้เป็นองค์กรแนบราบมากขึ้นเพื่อความคล่องตัวและลดขั้นตอนอันล่าช้าของระบบราชการ รวมทั้งนโยบายหรือมาตรการต่างๆต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อตัวนักเรียนนักศึกษาเป็นสำคัญและต้องเป็นกระ บวนการที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

นายอนุสรณ์ ยังได้เสนอให้รัฐบาลลดค่าไฟฟ้าลดทันที และค่าไฟฟ้าไม่ควรเกิน 3.50-4 บาทต่อหน่วยกิโลวัตต์ชั่วโมงและในระยะยาวแล้วควรทำให้ค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 2.5-3.5 บาทต่อหน่วยหยุดโอนย้ายผลประโยชน์สาธารณะจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตมายังผู้รับสัมปทานผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ซึ่งเป็นการแสวงค่าเช่าทางเศรษฐกิจ การแสวงค่าเช่าทางเศรษฐกิจในกิจการไฟฟ้านี้ ทำให้ภาคธุรกิจและภาคการผลิตของไทยต้องมีต้นทุนค่าไฟฟ้าสูงเกินมากไม่ควรใช้มาตรการอุดหนุนค่าไฟฟ้าโดยรัฐผ่านการไฟฟ้าทั้งสามแห่ง เพราะนั่นเท่ากับว่ารัฐต้องสูญเสียผลประโยชน์จากสัญญาสัมปทานที่ไม่รัดกุมแล้ว รัฐยังต้องเอาเงินภาษีมาอุดหนุนราคาค่าไฟฟ้าที่แพงกว่าปรกติจากการแสวงค่าเช่าทางเศรษฐกิจอีก เท่ากับเป็นเสียค่าโง่ให้กับระบบการคอร์รัปชันเชิงนโยบายและการผูกขาดทางเศรษฐกิจสองชั้น

สิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือ การทบทวนสัญญาสัมปทานการผลิตและการรับซื้อไฟฟ้าทั้งระบบโดยเฉพาะจากเอกชนรายใหญ่เพื่อให้เกิด ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย และ การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงมาในทันทีและค่าไฟฟ้าจะอยู่ในระดับที่ไม่แพงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนมากเกินไปการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าไฟฟ้าล่าสุดในไทยทำให้อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในไทย มีต้นทุนเพิ่มขึ้นทันที 5.38% ต้นทุนค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 12.41% ของต้นทุนการผลิตโดยรวม อุตสาหกรรมซีเมนต์เพิ่มขึ้น 4.4% ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้ามาอยู่ที่ 9.47% ของต้นทุนการผลิตโดยรวมผลิตภัณฑ์คอนกรีตและเซรามิคต้นทุนเพิ่มขึ้น 3.05-3.82% ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้ามาอยู่ที่ระดับ 6.49-8.14%ของต้นทุนการผลิตโดยรวม เมื่อพิจารณาดูภาพรวมของค่าเฉลี่ยในภาคอุตสาหกรรม ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2.29% ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าเทียบกับต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 4.88% (ข้อมูลกองวิจัยเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสภาพัฒนาการเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ