นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีภาคเอกชนมองว่าการปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลงแค่ลิตรละ 50 สตางค์ ไม่ได้ช่วยทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงได้มากเท่าใดนัก เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นจากลิตรละ 30 บาท มาอยู่ประมาณที่ลิตรละ 35 บาทในปัจจุบันว่า การปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลงเพียงลิตรละ 50 สตางค์ แม้สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องนั้น เนื่องจากกระทรวงพลังงานยังเห็นว่ายังมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
หากในระยะต่อไป ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็จะได้ใช้กลไกของกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาทำให้ราคาขายปลีกค่อย ๆ ทยอยปรับขึ้น ไม่ได้ปรับขึ้นในทันที เพื่อลดผลกระทบให้กับภาคประชาชนและภาคธุรกิจ แต่ในทางกลับหากไม่มีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันก็ต้องปรับขึ้นราคาขายปลีกในประเทศขึ้นทันทีเช่นกัน ก็จะมีผลกระทบมากกว่า
รมว.คลัง กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ทรงตัว ไม่มีความผันผวนมากนัก สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่หลายฝ่ายมองว่าอยู่ในภาวะถดถอย ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกลดลงตาม ซึ่งส่งผลดีที่ช่วยลดแรงกดดันของเงินเฟ้อในปีนี้ ส่วนจะกลับมาเข้ากรอบ 1-3% ในปีนี้หรือไม่นั้น ไม่สามารถยืนยันได้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ทั้งนี้ แนวโน้มเงินเฟ้อที่จะเริ่มปรับตัวลดลงในช่วงปีนี้ จะส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่นั้น รมว.คลัง กล่าวว่า คงไม่สามารถตอบได้ เพราะเป็นหน้าที่ที่ กนง. จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับสถานการณ์
"ตอนนี้ภาคธุรกิจก็มีการปรับตัว หลังจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เริ่มมีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ขณะเดียวกันภาคเกษตรก็มีการลดการใช้ปุ๋ยเคมี หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมักมากขึ้น ต้นทุนการผลิตที่ส่งผลต่อราคาสินค้าก็เริ่มทยอยปรับลดลง แนวโน้มเงินเฟ้อที่จะปรับสูงขึ้น แรงกดดันก็จะลดลง" นายอาคม กล่าว