นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวถึงสถานการณ์เงินบาทที่มีความผันผวนในขณะนี้ว่าเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะนโนบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อสูง ที่แม้ขณะนี้ตัวเลขเงินเฟ้อจะดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าเฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไร จึงเป็นเรื่องที่ยังต้องติดตาม ซึ่งเรื่องนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ดูแลใกล้ชิด
สำหรับในปี 66 ภาคการท่องเที่ยว จะยังเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่งรายได้จากภาคการท่องเที่ยว คิดเป็น 12% ของจีดีพี ดังนั้น การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น จะช่วยสนับสนุนธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องให้เติบโตตามไปด้วย โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม-ที่พัก ซึ่งปัจจุบันพบว่าอัตราการจองห้องพัก เพิ่มขึ้นถึง 70-80%
รมว.คลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยได้ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย โดยรัฐบาลได้ทยอยปลดล็อกมาตรการควบคุมโควิด-19 และเริ่มเปิดประเทศตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ส่งผลดีให้ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว ขณะเดียวกัน ในปี 2565 หลายประเทศทั่วโลกก็เริ่มทยอยเปิดประเทศ ทำให้ในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 10 ล้านคน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย
"ปีนี้ คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะได้มากกว่า 20 ล้านคน หลังจากมีการเปิดประเทศ สถานการณ์ต่าง ๆ ก็ดีขึ้นเป็นลำดับ รายได้ของประชาชนและภาคธุรกิจก็ฟื้นตัวดีขึ้นด้วย ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็ว หลังจากนโนบายการเปิดประเทศตั้งแต่ปลายปี 2564 ที่เริ่มภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ถือว่าฟื้นตัวได้ดีกว่าหลายประเทศในภูมิภาค" นายอาคม กล่าว
ในส่วนธุรกิจประกันภัย ในฐานะที่เป็นแหล่งเงินออมสำคัญของประเทศ มองว่ายังมีความท้าทาย คือ 1. ความเสี่ยงจากโรคติดต่ออุบัติใหม่ 2. ความท้าทายของโครงสร้างประชากรสูงอายุ 3. ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจชะลอตัว ที่อาจกระทบความสามารถในการออมและรายได้ 4. ความท้าทายด้านดิจิทัลเทคโนโลยี โดยเฉพาะภัยไซเบอร์ และ 5. การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ
"ปีที่ผ่านมา ธุรกิจประกันภัยเติบโตกว่า 2% ทั้งประกันชีวิต และประกันวินาศภัย ขณะที่ปีนี้ ธุรกิจประกันมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร และโรคอุบัติใหม่ ทำให้มองว่าการออมเงินผ่านภาคประกันจะมีมากขึ้นตามไปด้วย" นายอาคม ระบุ
รมว.คลัง กล่าวว่า สำหรับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่ การพัฒนาด้านดิจิทัล การเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ การเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การปรับโครงสร้างด้านการใช้พลังงาน ที่หันมาให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด และความยั่งยืนทางการคลัง ฐานะการคลัง และการดำเนินนโยบายการเงินการคลัง ที่ต้องยั่งยืน และมั่นคง เพื่อทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในระยะยาว