ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์หน้า (13-17 ก.พ.) ไว้ที่ระดับ 33.20-34.00 บาท/ดอลลาร์ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/65 ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ (Flow) และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนม.ค. ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและฟิลาเดลเฟีย และดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.พ. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามการเสนอรายชื่อผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ BOJ คนถัดไป ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/65 ของญี่ปุ่น และยูโรโซน รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจเดือนม.ค.ของจีนด้วยเช่นกัน
เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 1 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้นสัปดาห์สวนทางเงินดอลลาร์ที่พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและข้อมูลตลาดแรงงานอื่นๆ เดือนม.ค.ของสหรัฐฯ ออกมาแข็งแกร่งกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งหนุนแนวโน้มการคุมเข้มนโยบายการเงินต่อเนื่องของเฟด อย่างไรก็ดีเงินบาทลดช่วงอ่อนค่าและฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วน หลังถ้อยแถลงของประธานเฟดในระหว่างสัปดาห์มีท่าทีที่แข็งกร้าวน้อยกว่าที่ตลาดกังวล โดยเฉพาะมุมมองที่สะท้อนว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ กำลังชะลอลง
อย่างไรก็ดีสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยและยืนดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อเนื่องเพื่อสกัดเงินเฟ้อจากเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่น ช่วยชะลอแรงขายเงินดอลลาร์ไว้บางส่วน ขณะที่ตลาดรอติดตามตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในวันที่ 14 ก.พ.นี้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้เงินบาทยังมีปัจจัยลบจากแรงขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติด้วยเช่นกัน
ในวันศุกร์ที่ 10 ก.พ.66 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 33.75 บาท/ดอลลาร์ (หลังแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 1 เดือนที่ 33.81 บาท/ดอลลาร์ในระหว่างสัปดาห์) เทียบกับ 32.96 บาท/ดอลลาร์ในวันศุกร์ก่อนหน้า (3 ก.พ.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 6-10 ก.พ.นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 14,755 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 10,318 ล้านบาท (ขายสุทธิ 443.15 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 9,875 ล้านบาท)