นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงคลังรายงานช่วง 3 เดือน ของไตรมาสแรกประจำปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม-ธันวาคม 2565) รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ เป็นจำนวนถึง 6.33 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 13.2% ซึ่งเฉพาะกรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากถึง 4.46 แสนล้านบาท โดยเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 10% สะท้อนให้เห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศไทย ทั้งจากภาคธุรกิจ การท่องเที่ยว อุตสาหกรรม การจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ทำให้มีเงินสะพัดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่า ในปี 2566 ระบบเศรษฐกิจจะขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ 3.8% จากอุปสงค์ภายในประเทศ รวมถึงภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว
โดยกรมสรรพากรรายงานตัวเลขการจัดเก็บภาษี โดยในระยะเวลา 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 ตั้งแต่ ตุลาคม 2565 ถึง มกราคม 2566 สามารถจัดเก็บภาษีเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 6 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่จะมาจากการเก็บภาษีนิติบุคคล และมูลค่าเพิ่มเป็นหลัก ซึ่งสะท้อนการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ และการบริโภคในประเทศ
สำหรับในปีงบประมาณ 2566 นี้ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เก็บภาษี กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และ กรมศุลกากร ได้ดำเนินการตามแผนนโยบายของรัฐบาล และติดตามสถานการณ์การจัดเก็บภาษีอย่างต่อเนื่อง โดยภายในปีงบประมาณ 2566 รัฐบาลตั้งเป้าการเก็บภาษีไว้ที่ 2.49 ล้านล้านบาท ซึ่งจากปริมาณการเก็บภาษีในไตรมาสแรกที่เกินเป้า คาดว่าในปีนี้ทั้งปีจะสามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ และกรมสรรพากรดำเนินการตามแนวทางของนายกรัฐมนตรี ให้มีแผนการที่จะเพิ่มการจัดเก็บภาษี โดยการดึงธุรกิจเกิดใหม่หลายๆประเภท เช่น การค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์อินฟลูเอนเซอร์ เข้าสู่ระบบภาษี เพื่อให้สามารถจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
"นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กำชับการทำงานของทุกหน่วยงานให้เป็นไปตามกฎระเบียบ ชื่นชมการเติบโตของตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทย โดยมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยเดินมาถูกทาง และกำลังฟื้นตัว ตลอดจนยินดีที่การจัดเก็บภาษีในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2566 เป็นไปได้ด้วยดี มีตัวเลขการจัดเก็บที่เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ และภาคประชาชน โดยภาษีเหล่านี้ จะถูกนำไปพัฒนาประเทศ รวมถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มอย่างยั่งยืน และเหมาะสมตามกระบวนการกฎหมายต่อไป" นายอนุชา กล่าว