นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. จี สตีล (GSTEEL) และ บมจ. จี เจ สตีล (GJS) ซึ่งเป็นสมาชิกสมาคมฯ และเป็น 2 ใน 6 ผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนรายสำคัญของประเทศ กล่าวว่า จากผลการพิจารณาขั้นต้นให้ยุติการขยายเวลาการบังคับใช้การตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนจากประเทศบราซิล อิหร่าน และตุรกี โดยทั้ง 3 ประเทศยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินอีกกว่า 13 ล้านตัน และยังคงมีพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมจากการถูกใช้มาตรการ AD สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนทั่วโลก ผลดังกล่าว นอกจากจะกลับมาสร้างความเสียหายให้กับผู้ผลิตในประเทศแล้ว ยังอาจจะสร้างความเสียหายให้กับผู้ใช้รายหลักของประเทศ และเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศด้วย
บริษัทฯ ได้ร่วมจับมือกับ นิปปอน สตีล คอร์ป ในฐานะผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก โดยได้มีการลงทุนในบริษัทเหล็กทั้ง 2 บริษัทเป็นมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท เมื่อปี 2565 เพื่อเข้ามาพัฒนาธุรกิจเหล็กในประเทศให้เติบใหญ่ ด้วยการพัฒนายกระดับเหล็กให้มีคุณภาพแข่งขันได้ และจะช่วยลดการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศได้ ที่สาคัญจะทำให้ต้นทุนรวมในการผลิตเหล็กต่ำลง อีกทั้งเป็นกลุ่มทุนที่มีเครือข่ายด้านการตลาดในอุตสาหกรรมเหล็กเชื่อมโยงไปทั่วโลก
โดยนักลงทุนจากญี่ปุ่น มองเห็นศักยภาพของผู้ผลิตเหล็กในประเทศ รวมถึงโอกาสในการพัฒนาตลาดในประเทศ เนื่องด้วยอุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดร้อน เป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่สาคัญในการเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมที่สำคัญต่างๆ ของประเทศ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่นเดียวกับที่มีการพัฒนาในญี่ปุ่น ซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่นเชื่อมั่นในประเทศไทย เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้มีการใช้สินค้าในประเทศ รวมถึงไม่สนับสนุนการค้าที่ไม่เป็นธรรมจากต่างประเทศ โดยมีการบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.บ. การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศอย่างจริงจัง
แต่จากกรณีที่มีร่างผลการพิจารณาทบทวนการบังคับใช้มาตรการ AD สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนจาก 3 ประเทศ ที่มีมติให้ยุติมาตรการไปนั้น สร้างความกังวลใจให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากสินค้าจากทั้ง 3 ประเทศนี้แล้ว ขณะนี้ยังมีการพิจารณาต่ออายุมาตรการสินค้าทุ่มตลาดจากประเทศจีน และมาเลเซียด้วย โดยเฉพาะจากกรณีประเทศจีน ที่ทั่วโลกตระหนักดีว่าเป็นสาเหตุหลักของกำลังการผลิตส่วนเกินของโลก และมีการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กไปทั่วโลก รวมถึงมีพฤติกรรมการหลบเลี่ยงมาตรการโดยการเจือธาตุอัลลอย ไม่ให้สินค้าอยู่ในพิกัดศุลกากรของมาตรการ AD ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน
"เมื่อพิจารณาจากศักยภาพในการส่งออกทั้ง 5 ประเทศมีกำลังการผลิตส่วนเหลือกว่า 170 ล้านตัน รวมถึงพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมที่ถูกใช้มาตรการ AD สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนจาก 8 ประเทศทั่วโลก โอกาสที่ประเทศดังกล่าว จะกลับมาทุ่มตลาดหากยุติมาตรการไปนั้นมีสูงมาก และเชื่อว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ความเชื่อมั่นของนักลงทุนญี่ปุ่น หรือแม้แต่นักลงทุนประเทศต่างๆ ที่ต้องการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศจะต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน"
นายนาวา จันทนสุรคน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ผู้ผลิตรายหลักของประเทศไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในช่วงปัญหาเศรษฐกิจโลกนี้ ประเทศต่างๆ พยายามดูแลปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศของตน และมาตรการป้องกันการทุ่มตลาดก็เป็นการปฏิบัติที่สาคัญ โดยทั่วโลกมีการใช้มาตรการ AD เฉพาะสินค้าเหล็กมากถึง 503 มาตรการ และตัวอย่างประเทศทุ่มตลาดที่ยังถูกใช้มาตรการ AD สินค้าเหล็กได้แก่ จีน 149 มาตรการ, ตุรกี 14 มาตรการ เป็นต้น
นอกจากนี้ ในปัจจุบันประเทศบราซิล อิหร่าน และตุรกี ยังมีกำลังการผลิตส่วนเหลืออีกกว่า 13 ล้านตัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการส่งออกของประเทศดังกล่าว ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่า หากมีการยุติมาตรการ AD จะเกิดช่องว่างให้สินค้าทุ่มตลาดไหลทะลักเข้ามาสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมภายใน และเศรษฐกิจของประเทศอย่างแน่นอน และหากสินค้าทุ่มตลาดจาก จีน ตุรกี บราซิล อิหร่าน และมาเลเซีย กลับมาทุ่มตลาดมายังประเทศไทย จะสร้างความเสียหายจนทำให้อุตสาหกรรมในประเทศต้องปิดกิจการ ประเทศก็จะเสียการสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศที่มีมูลค่ากว่า 10,800 ล้านบาท ซึ่งหากประเมินการหมุนวนทางเศรษฐกิจอีกอย่างน้อย 3 เท่า ก็จะเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 32,400 ล้านบาท
นอกจากนี้ ประเทศยังต้องเสียดุลการค้าเพิ่มจากการนำเข้าสินค้าเหล็กเพิ่มอีก 2 ล้านตัน/ปี คิดเป็นเสียดุลการค้ามูลค่าประมาณ 50,000 ล้านบาท/ปี (ประเมินราคาสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนอย่างน้อย 25,000 บาท/ตัน)
นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อานวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศปี 2565 (ม.ค.-พ.ย.) มีการอัตราการใช้กาลังการผลิตเพียงประมาณ 30% เป็นสินค้าเหล็กทรงยาว 32% (คงที่จากปี 2564) และเหล็กทรงแบน 28.2% (ลดลงจาก 33% ในปี 2564) ซึ่งสาเหตุหลักที่ทาให้ยังคงมีอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำ คือปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินเป็นจำนวนมากในระดับโลก และอาเซียนทำให้เกิดสินค้าทุ่มตลาดนำเข้าจากต่างประเทศ โดยปัจจุบันยังคงพบอยู่โดยเฉพาะจากประเทศจีน และเวียดนาม ที่ยังคงมีสินค้าทุ่มตลาดในหลายผลิตภัณฑ์เหล็ก โดยเฉพาะการส่งสินค้าเหล็กที่เจืออัลลอย เพื่อหลบเลี่ยงมาตรการทางการค้าในปัจจุบัน
"สถาบันเหล็กฯ ได้มีการหารือร่วมกับสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าอาเซียน ในการแก้ปัญหานี้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังไม่สามารถดำเนินการได้มีประสิทธิภาพเท่ากับมาตรการของต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา หรือสหภาพยุโรป ที่มีการบังคับใช้มาตรการ AD และมาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการทางการค้า (Anti Circumvention : AC) กับสินค้าดังกล่าว หรือแม้แต่การใช้มาตรการ Section 232 ของสหรัฐ หรือ Safeguard ของสหภาพยุโรป
นอกจากนี้ ข้อมูลจากองค์การการค้าโลก (WTO) ณ วันที่ 31 ธ.ค. 65 พบว่ามีการบังคับใช้มาตรการ AD/CVD ต่อสินค้าเหล็กสำเร็จรูปถึงประมาณ 200 กรณี และยังอยู่ระหว่างการไต่สวนอีกประมาณ 120 กรณี (แยกตามสินค้า และประเทศที่บังคับใช้)
โดยประเทศจีน และเวียดนาม เป็นประเทศที่ถูกใช้มาตรการมากเป็นอันดับที่ 1 และ 2 ตามลำดับ ส่วนประเทศหลักที่ใช้มาตรการ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา และสหภาพยุโรป เป็นต้น ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ก็ยังให้ความสำคัญในการการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่จะเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมที่สำคัญอื่นๆ