นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ลงพื้นที่ไปติดตามสถานการณ์มะนาวยังแหล่งผลิตของกลุ่มเกษตรกรตำบลบัวงาม อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ผลผลิต ปริมาณผลผลิต ซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่กรมฯ ได้ทำการเชื่อมโยงผลผลิตไปจำหน่ายให้กับประชาชนผ่านรถโมบายพาณิชย์ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ที่ได้สั่งการให้ดูแลประชาชนในช่วงสถานการณ์ราคามะนาวหน้าแล้ง เนื่องจากมะนาวไม่ติดดอก ส่งผลให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย และแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ ทั้งในส่วนของประชาชนและร้านอาหารที่ใช้มะนาวเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร
"ต้นมะนาวบางส่วนเริ่มติดดอกใหม่ในปริมาณมากขึ้นแล้ว คาดว่าผลผลิตมะนาวจะเริ่มทยอยเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น และกลับเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงเดือนพฤษภาคม โดยแหล่งผลิตแห่งนี้เป็นหนึ่งในแหล่งผลิตที่กรมฯ ได้ทำการเชื่อมโยงนำผลผลิตไปจำหน่ายในราคาถูกผ่านรถโมบายพาณิชย์ นอกเหนือจากแหล่งผลิตอื่นๆ ในจังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดพิจิตร เพื่อดูแลและช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนในช่วงสถานการณ์มะนาวหน้าแล้ง" นายวัฒนศักย์ กล่าว
ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ร่วมมือกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศติดตามสถานการณ์มะนาวอย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านปริมาณและราคา หากพบพื้นที่ใดมีปัญหาราคามะนาวสูงหรือสินค้าไม่เพียงพอจะทำการเชื่อมโยงผลผลิตมะนาวจากตลาดกลางทั่วประเทศ และจังหวัดแหล่งผลิตเข้าไปเปิดจุดจำหน่ายให้กับประชาชนอย่างรวดเร็วต่อไป
ขณะนี้สถานการณ์ผลผลิตมะนาวในสภาพอากาศช่วงหนาว กระทบแล้ง ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของมะนาว ประกอบกับฝนตกชุกและน้ำท่วมในบางพื้นที่แหล่งผลิตในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลผลิตมะนาวในแหล่งผลิตสำคัญได้รับความเสียหาย ทำให้ราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นสภาวะปกติตามช่วงฤดูกาลผลิตในแต่ละปี โดยราคามะนาวล่าสุดในกรุงเทพฯ ราคาเบอร์ 1-2 เฉลี่ยราคา 5-7 บาท เพิ่มจากเดือนก่อนราคา 3.9-4.50 บาท
ทั้งนี้ กรมการค้าภายในได้ติดตามสถานการณ์และดำเนินแก้ไขปัญหาในทันที โดยได้ร่วมมือกับสมาคมตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย ประกอบด้วย ตลาดศรีเมือง ตลาดไท และตลาดสี่มุมเมือง เชื่อมโยงผลผลิตมะนาวจากตลาดกลางออกจำหน่ายผ่านรถโมบายพาณิชย์ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนผู้บริโภค รวมถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร ที่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบมะนาวในราคาขายส่ง ซึ่งได้วิ่งไปจำหน่าย ณ สถานที่ชุมชน กว่า 100 จุด ทั่วกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.66 เป็นต้นมา โดยได้รับความสนใจจากประชาชนและร้านอาหารเป็นอย่างมาก ซึ่งจะดำเนินการต่อเนื่องต่อไป
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบ กรมฯ ได้เน้นย้ำให้ผู้ประกอบการปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายให้ชัดเจน หากตรวจพบจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด กรณีไม่ติดป้ายแสดงราคาจะมีโทษ ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือหากมีการค้ากำไรเกินควร จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชนพบเห็นการจำหน่ายสินค้าหรือบริการที่ไม่เป็นธรรม สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ