มูเตลูไทยเฟื่องฟู ดันธุรกิจด้านความเชื่อเพื่อสนับสนุนการตลาด เบียดแซงหน้าขึ้นแท่นธุรกิจดาวเด่น เปิดรายได้รวมปลายปีเพิ่มขึ้นกว่า 113% ขณะที่สินทรัพย์ธุรกิจเพิ่มขึ้นกว่า 50% ชี้ธุรกิจสายมูส่วนใหญ่ไม่นิยมจัดตั้งเป็นนิติบุคคล พาณิชย์ แนะให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และสามารถขยายธุรกิจสู่การให้บริการที่หลากหลายมากขึ้น
นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2563 เข้าสู่ปี 2566 "มูเตลู" หรือความเชื่อในศาสตร์เร้นลับ การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อเสริมดวงและโชคชะตาในประเทศไทย กำลังได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ผู้นับถือศาสตร์มูเตลู (สายมู) เชื่อว่าการบูชาและศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไสยศาสตร์ เครื่องรางของขลัง จะช่วยส่งเสริมด้านการงาน การเงิน โชคลาภ และความรัก ซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจและส่งพลังด้านบวกให้ชีวิต ผนวกกับเรื่องของความเชื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความกังวลและความไม่แน่นอน โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีความผันผวน มีปัจจัยที่ไม่อาจคาดการณ์เกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น โรคอุบัติใหม่ โรคระบาด อันตรายจากปัญหาสิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การศึกษา ความเห็นต่าง รวมทั้งการไม่สามารถปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ และสถานการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน ทำให้ภาคธุรกิจสบโอกาสที่จะนำความเชื่อในมูเตลูมาใช้สร้างรายได้และผลกำไรมากขึ้น
โดยเมื่อพิจารณาถึงการบริหารจัดการ พบว่า มีการปรับตัวนำศาสตร์แห่งความเชื่อมาใช้วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด (โดยเฉพาะการตลาดออนไลน์) และประชาสัมพันธ์สินค้า/บริการ โดยจัดแคมเปญให้เข้าถึงผู้บริโภคทุกช่วงอายุมากขึ้น รวมทั้งใช้ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด (Influencers) หรือผู้มีชื่อเสียงมาสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างประสบการณ์ร่วมด้านอารมณ์/ความรู้สึกกับลูกค้า ส่งผลให้ "ธุรกิจกิจกรรมด้านความเชื่อเพื่อสนับสนุนการตลาด" มีอัตราการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในปี 2563-2565 ธุรกิจกิจกรรมด้านความเชื่อเพื่อสนับสนุนการตลาด มีอัตราการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้น ปี 2563 จดทะเบียนจัดตั้ง 11 ราย ทุนจดทะเบียน 7.59 ล้านบาท ปี 2564 จัดตั้ง 20 ราย (เพิ่มขึ้น 9 ราย หรือ 81.8%) ทุน 13.41 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5.82 ล้านบาท หรือ 76.7%) ปี 2565 จัดตั้ง 24 ราย (เพิ่มขึ้น 4 ราย หรือ 20.0%) ทุน 27.45 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14.04 ล้านบาท หรือ 104.7%)
ส่วนผลประกอบการธุรกิจ พบว่า ปี 2562 รายได้รวมของธุรกิจ อยู่ที่ 24.28 ล้านบาท สินทรัพย์ 49.54 ล้านบาท กำไร 1.12 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้รวม อยู่ที่ 28.76 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.48 ล้านบาท หรือ 18.5%) สินทรัพย์ 47.31 ล้านบาท (ลดลง 2.23 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.5) กำไร 1.52 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.40 ล้านบาท หรือ 35.7%)
ปี 2564 รายได้รวม อยู่ที่ 61.28 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 32.52 ล้านบาท หรือ 113.1%) สินทรัพย์ 71.07 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 23.76 ล้านบาท หรือ 50.22%) ขาดทุน 1.86 ล้านบาท (ลดลง 3.38 ล้านบาท หรือ 222.4%)
"โดยปี 2564 มีรายได้รวมและสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจากปี 2563 แต่มีผลประกอบการขาดทุน แสดงถึงแนวโน้มของธุรกิจอยู่ในช่วงขยายการลงทุนรองรับการเติบโต หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 คลี่คลายลง" นายสินิตย์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังพบว่า การลงทุนในธุรกิจส่วนใหญ่เป็นคนไทย มูลค่าการลงทุน 98.55 ล้านบาท คิดเป็น 96.64% ของการลงทุนในธุรกิจทั้งหมด และมีการลงทุนจากต่างชาติ 2 สัญชาติ คือ จีน มูลค่า 2.45 ล้านบาท (2.40%) และฝรั่งเศส มูลค่า 0.98 ล้านบาท (0.96%)
ปัจจุบัน ธุรกิจกิจกรรมด้านความเชื่อเพื่อสนับสนุนการตลาด ที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทย ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 มีจำนวน 93 ราย คิดเป็น 0.01% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ (857,511 ราย) และมีมูลค่าทุน 101.98 ล้านบาท คิดเป็น 0.0005% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย (21.36 ล้านล้านบาท) ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 46 ราย (49.46%) ทุนจดทะเบียน 60.33 ล้านบาท (59.16%)
รองลงมา คือ ภาคกลาง 22 ราย (23.66%) ทุน 17.41 ล้านบาท (17.07%) ภาคตะวันออก 6 ราย (6.45%) ทุน 5.90 ล้านบาท (5.79%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6 ราย (6.45%) ทุน 5.55 ล้านบาท (5.44%) ภาคเหนือ 5 ราย (5.38%) ทุน 1.29 ล้านบาท (1.26%) ภาคใต้ 55 ราย (5.38%) ทุน 9.40 ล้านบาท (9.22%) และภาคตะวันตก 3 ราย (3.22%) ทุน 2.10 ล้านบาท ( 2.06%)
ทั้งนี้ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการสำรวจและสรุปข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อด้านโชคลางของคนไทย 5 อันดับแรก ได้แก่
1. การพยากรณ์ (รายวัน รายเดือน รายสัปดาห์) โหราศาสตร์ ลายมือ ไพ่ยิบซี
2. พระเครื่องวัตถุมงคล
3. สีมงคล
4. ตัวเลขมงคล
5. เรื่องเหนือธรรมชาติ
ส่วนช่องทางการเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาด้านความเชื่อโชคลาง ส่วนใหญ่ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ รองลงมา คือ บุคคลรอบข้าง และการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์นั้นๆ ตามลำดับ
"ธุรกิจกิจกรรมด้านความเชื่อเพื่อส่งเสริมการตลาดในประเทศไทย มีการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบปริมาณของผู้ประกอบธุรกิจด้านความเชื่อในตลาด ส่วนใหญ่นิยมประกอบกิจการในรูปบุคคลธรรมดา จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบธุรกิจ หากต้องการให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือหรือขยายธุรกิจสู่การให้บริการอื่นๆ การจดทะเบียนนิติบุคคลจะมีส่วนช่วยในการสร้างความน่าเชื่อถือและต่อยอดทางธุรกิจได้หลากหลายมากขึ้น" รมช.พาณิชย์ กล่าว