นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สถานการณ์ด้านแรงงานไตรมาส 4/65 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากการขยายตัวของการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม ขณะที่การจ้างงานภาคเกษตรกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2
สำหรับภาพรวมปี 2565 อัตราการมีงานทำและชั่วโมงการทำงานปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 การจ้างงานมีจำนวนทั้งสิ้น 39.6 ล้านคน ขยายตัว 1.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการจ้างงานในสาขานอกภาคเกษตรกรรมที่เพิ่มขึ้น 3.4% โดยสาขาโรงแรมและภัตตาคาร และสาขาการค้าส่งและค้าปลีก ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่สาขาการขนส่ง/เก็บสินค้า และสาขาการผลิตมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการยังมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต
ส่วนภาคเกษตรกรรม การจ้างงานหดตัว 3.4% จากปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และการย้ายสาขาของแรงงาน ชั่วโมงการทำงานปรับตัวดีขึ้น โดยชั่วโมงการทำงานภาพรวมและภาคเอกชนเฉลี่ยอยู่ที่ 42.6 และ 46.5 ชั่วโมง/สัปดาห์ ผู้ทำงานล่วงเวลาเพิ่มขึ้นโดยมีจำนวนกว่า 6.3 ล้านคน
ขณะที่ผู้ว่างงานแฝง และผู้เสมือนว่างงาน ลดลงกว่า 28.0% และ 19.0% ตามลำดับ การว่างงานปรับตัวดีขึ้น โดยผู้ว่างงานมีจำนวน 4.6 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.15% ซึ่งลดลงทั้งผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน และไม่เคยทำงานมาก่อน
สถานการณ์ด้านแรงงาน ปี 2565 ผู้มีงานทำมีจำนวน 39.2 ล้านคน ขยายตัว 1.0% โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม ขยายตัว 2.0% ตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นหลังจากการเปิดรับนักท่องเที่ยวและการส่งออกที่ขยายตัวขึ้นจากปีก่อน ขณะที่ภาคเกษตรกรรม การจ้างงานหดตัว 1.2% จากผลกระทบของอุทกภัยตั้งแต่เดือนก.ค. 65 และการเคลื่อนย้ายของแรงงานไปสู่สาขาที่ฟื้นตัวได้ดี
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ต้องติดตามในระยะถัดไป ดังนี้
1. การจ้างงานในอุตสาหกรรมส่งออกและโอกาสการหางานของเด็กจบใหม่ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปและมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งอาจกระทบต่อการจ้างงานในสาขาที่เกี่ยวข้อง และเป็นอุปสรรคต่อการหางานของเด็กจบใหม่
2. ภาระค่าครองชีพของแรงงานจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง
3. ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการท่องเที่ยว โดยสาขาโรงแรม ที่พัก ภัตตาคาร และร้านค้า ยังมีความต้องการแรงงานอีกประมาณ 1 หมื่นตำแหน่ง ใน 60 จังหวัด
นายดนุชา กล่าวว่า สำหรับหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 3/65 ขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่คุณภาพสินเชื่อทรงตัว แต่ต้องเฝ้าระวังสินเชื่อยานยนต์ที่มีสัดส่วนสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงยังมีลูกหนี้ที่มีสถานะดีและกลายเป็นหนี้เสียจากผลกระทบของโควิด-19 มากขึ้น
โดยไตรมาส 3/65 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 14.90 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.9% จาก 3.5% ของไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 86.8% ลดลงจาก 88.1% จากไตรมาสที่ผ่านมา
ในส่วนของคุณภาพสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ยังคงทรงตัว โดยหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไตรมาส 4/65 มีสัดส่วน 2.62% ต่อสินเชื่อรวม อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ (SML) หรือสินเชื่อค้างชำระน้อยกว่า 3 เดือน พบว่า สินเชื่อกล่าวถึงพิเศษในสินเชื่อรถยนต์มีสัดส่วนสูงถึง 13.7% ของสินเชื่อรวม นอกจากนี้ จากข้อมูลเครดิตบูโร พบว่า ลูกหนี้เสียจากผลกระทบของโควิด-19 ยังมีปริมาณมาก แม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลง
ทั้งนี้ ในระยะถัดไปมีประเด็นที่ต้องติดตามและให้ความสำคัญ คือ 1. การเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่เริ่มมีสัญญาณการผิดชำระหนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในการตกชั้นของลูกหนี้ที่มีจำนวนมาก และ 2. การมีมาตรการเฉพาะเจาะจงในการช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้เสียจากผลกระทบของโควิด-19 เพื่อลดจำนวนลูกหนี้เสียไม่ให้เพิ่มขึ้นในระยะถัดไป และรักษาสถานะลูกหนี้ให้อยู่ในระบบการเงิน การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังในไตรมาส 4 และภาพรวมปี 2565 เพิ่มขึ้น
"รัฐบาลมีการแก้ปัญหาหนี้เสีย โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง หนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงถัดไป จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว" นายดนุชา กล่าว