พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Trade Winds Business Development Forum เพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจและการค้า ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ รวมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทย ตลอดจนส่งเสริมโอกาสความร่วมมือในประเด็นที่ไทยและสหรัฐฯ ให้ความสำคัญร่วมกัน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่าการพบปะกับภาคเอกชน รับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะ จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนและการประกอบธุรกิจ ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญมาโดยตลอด รัฐบาลไทยยินดีที่สหรัฐฯ เลือกจัดกิจกรรม Trade Winds ที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทย สะท้อนถึงโอกาสด้านการค้าและการลงทุน ในประเทศไทยและภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลและภาคเอกชนสหรัฐฯ ในการพัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจของบริษัทเอกชนสหรัฐฯ
โดยกิจกรรม Trade Winds ในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสยกระดับความเป็นหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นแล้ว และเป็นโอกาสครบรอบ 190 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสหรัฐฯ นับตั้งแต่ลงนามในสนธิสัญญาไมตรีและการพาณิชย์ เมื่อปี 2376
ทั้งนี้ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่การค้าทวิภาคีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 การค้าระหว่างกันมีมูลค่า กว่า 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่สองของไทย อีกครั้งในรอบ 15 ปี แสดงถึงความร่วมมือและห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็งระหว่างกัน และศักยภาพและความพร้อมของไทยในด้านเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านความเชื่อมโยงและโลจิสติกส์
ไทยและสหรัฐฯ มีเป้าหมายและนโยบายที่สอดคล้องกันในการส่งเสริมความเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เข้มแข็ง และมีความสมดุล โดยไทยให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ - หมุนเวียน - สีเขียว หรือ BCG Economy ซึ่งผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคได้ร่วมกันรับรองเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG และสหรัฐฯ ในฐานะเจ้าภาพเอเปคในปีนี้จะสานต่อการดำเนินการในทิศทางเดียวกัน
นอกจากนี้ ไทยได้ร่วมมือกับสหรัฐฯ และประเทศหุ้นส่วนในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นธรรม ซึ่งแผนความเป็นหุ้นส่วนไทย-สหรัฐฯ จะช่วยเสริมสร้างโอกาส ความร่วมมือระหว่างกันในหลายมิติ ได้แก่
ประการแรก คือความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ไทยมีความพร้อมเป็นศูนย์กลางด้านการค้าการลงทุน และการผลิตที่สำคัญของภูมิภาค เป็นจุดเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานด้วยที่ตั้งด้านภูมิศาสตร์ และมาตรการสิทธิประโยชน์ที่หลากหลายสำหรับภาคเอกชน โดยไทยสนใจร่วมมือและส่งเสริมการลงทุนจากภาคเอกชนสหรัฐฯ ในสาขาใหม่ ๆ อาทิ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และชิ้นส่วนต้นน้ำของเซมิคอนดักเทอร์ สินค้าและบริการทางการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมชีวภาพ ยานยนต์ยุคใหม่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์และอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมเศรษฐกิจ BCG
ประการที่สอง ไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวและพลังงานสะอาด เพื่อเร่งสร้างเศรษฐกิจสีเขียวและสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งได้เชิญชวนภาคเอกชนสหรัฐฯ ร่วมลงทุนและสนับสนุน องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และเทคโนโลยี เพื่อให้ไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม EV พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานไฮโดรเจน เทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมทั้งเทคโนโลยีดักจับ ใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS)
ประการสุดท้าย การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลคืออนาคตของเรา โดบไทยมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และเร่งดำเนินโครงการ upskill และ reskill ทักษะดิจิทัลเพื่อพัฒนาบุคลากร ในการรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ในช่วงที่ผ่านมา ได้ร่วมมือกับบริษัทเอกชนสหรัฐฯ ในการลงทุนพัฒนาศูนย์จัดเก็บข้อมูลระบบคลาวด์ในประเทศไทย รวมถึงการขยายความร่วมมือส่งเสริมการพัฒนาระบบนิเวศด้านนวัตกรรม การพัฒนาขีดความสามารถด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ Quantum และปัญญาประดิษฐ์ (AI)
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าการจัดกิจกรรม Trade Winds ปีนี้ จะยกระดับการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเพื่อเป้าหมายร่วมกันในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างสมดุล เข้มแข็ง และยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ กิจกรรม Trade Winds เป็นการนำคณะนักธุรกิจสหรัฐฯ เยือนต่างประเทศประจำปีของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ โดยในปี 2566 สหรัฐฯ เลือกจัดกิจกรรมในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย การสร้างเครือข่ายธุรกิจ การจับคู่ทางธุรกิจ และกิจกรรมพบหารือระหว่างภาคเอกชนสหรัฐฯ กับผู้แทนรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ โดยคาดว่ามีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ประมาณ 150 คน