นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานมีมติเห็นชอบในเรื่องโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2566 โดยมีการรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) จำนวน 21.5 ล้านไร่ เป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ธ.ก.ส. 16 ล้านไร่ เกษตรกรทั่วไป พื้นที่นำร่อง 5 ล้านไร่ เกษตรกรทั่วไปไม่เกิน 5 แสนไร่ การรับประกันภัยโดยภาคสมัครใจ (Tier 2) ไม่เกิน 5 แสนไร่ รวม Tier 1 และ Tier 2 จำนวน 22 ล้านไร่
โดยใช้งบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการฯ สำหรับพื้นที่เอาประกันภัย Tier 1 จำนวน 21.5 ล้านไร่ จำนวนทั้งสิ้น 1,647,435,000 บาท โดยให้ ธ.ก.ส.ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลและเบิกเงินชดเชยจากรัฐบาลตามจำนวนที่จ่ายจริงรวมกับต้นทุนเงินในอัตราต้นทุนทางการเงินของ ธ.ก.ส. ประจำไตรมาสบวก 1 ต่อปี (ปัจจุบันเท่ากับ 1.83%) ในปีงบประมาณถัดไป โดยให้มีการปรับเปลี่ยนอัตราต้นทุนทางการเงินตามอัตราที่แท้จริงทุกไตรมาส
ส่วนอัตราค่าเบี้ยประกันภัย จำแนกเป็น
1) การรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) แบ่งเป็น 4 อัตรา (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษี มูลค่าเพิ่ม) ดังนี้ (1) เกษตรกรลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ธ.ก.ส. 115 บาทต่อไร่ เท่ากันในทุกพื้นที่ (2) เกษตรกรทั่วไปในพื้นที่นำร่อง 70 บาทต่อไร่ (3) เกษตรกรทั่วไปในพื้นที่เสี่ยงปานกลาง 199 บาทต่อไร่ และ (4) เกษตรกรทั่วไปในพื้นที่เสี่ยงสูง 218 บาทต่อไร่
2) การรับประกันภัยโดยภาคสมัครใจ (Tier 2) แบ่งเป็น 3 อัตรา (เกษตรกรจ่ายเองพร้อมทั้งอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ดังนี้ (1) พื้นที่เสี่ยงต่ำ 27 บาทต่อไร่ (2) พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 60 บาทต่อไร่ และ (3) พื้นที่เสี่ยงสูง 110 บาทต่อไร่
สำหรับวงเงินคุ้มครอง จำแนกเป็น 1) วงเงินคุ้มครองภัยธรรมชาติทั้งหมด 7 ภัย ได้แก่ (1) น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก (2) ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง (3) ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น (4) ภัยอากาศหนาว หรือน้ำค้างแข็ง (5) ลูกเห็บ (6) ไฟไหม้ (7) ช้างป่า สำหรับการรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) มีวงเงินความคุ้มครอง 1,190 บาทต่อไร่ และการรับประกันภัยโดยภาคสมัครใจ (Tier 2) มีวงเงินความคุ้มครอง 240 บาทต่อไร่ รวมวงเงินความคุ้มครอง Tier 1 และ Tier 2 จำนวน 1,430 บาทต่อไร่
และ 2) วงเงินคุ้มครองภัยศัตรูพืชและโรคระบาด การรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) มีวงเงินความคุ้มครอง 595 บาทต่อไร่ และการรับประกันภัยโดยภาคสมัครใจ (Tier 2) มีวงเงินความคุ้มครอง 120 บาทต่อไร่ รวมวงเงินความคุ้มครอง Tier 1 และ Tier 2 จำนวน 715 บาทต่อไร่
ส่วนการอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยของ ธ.ก.ส.ในอัตรา 46 บาทต่อไร่ สำหรับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปีของ ธ.ก.ส.ที่ขึ้นทะเบียนเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2566 จำกัดพื้นที่สูงสุดไม่เกิน 30 ไร่ต่อราย
ขณะที่การอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยของรัฐบาลสำหรับการรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) ให้แก่ผู้เอาประกันภัย ดังนี้
1) เกษตรกรลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ค่าเบี้ยประกันภัยเท่ากันทุกพื้นที่ 115 บาทต่อไร่ (124.12 บาทต่อไร่ รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ธ.ก.ส. อุดหนุน 46 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 78.12 บาทต่อไร่ (รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม)
2) เกษตรกรทั่วไปในพื้นที่นำร่อง ค่าเบี้ยประกันภัย 70 บาทต่อไร่ (75.97 บาทต่อไร่ รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) เกษตรกรจ่าย 5 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 70.97 บาทต่อไร่ (รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม)
3) เกษตรกรทั่วไปในพื้นที่เสี่ยงปานกลาง ค่าเบี้ยประกันภัย 199 บาทต่อไร่ (214 บาทต่อไร่ รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) เกษตรกรจ่าย 130 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 84 บาทต่อไร่ (รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม)
4) เกษตรกรทั่วไปในพื้นที่เสี่ยงสูง ค่าเบี้ยประกันภัย 218 บาทต่อไร่ (234.33 บาทต่อไร่ รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) เกษตรกรจ่าย 149 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 85.33 บาทต่อไร่ (รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ทั้งนี้ คิดภาษีมูลค่าเพิ่มอัตรา 7% ของเบี้ยประกันภัยหลังจากรวมค่าอากรแสตมป์แล้ว และค่าเบี้ยประกันภัยทุก 250 บาท คิดค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
สำหรับระยะเวลาการขายประกัน กำหนดวันเริ่มจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ และกรมธรรม์ประกันภัยและอัตราเบี้ยประกันภัยได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน คปภ. และกำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์ แตกต่างกันตามภาคภูมิศาสตร์ ดังนี้ (1) ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ จำนวน 58 จังหวัด กำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์ ไม่เกินวันที่ 31 พ.ค.66 (2) ภาคตะวันตก จำนวน 5 จังหวัด กำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์ไม่เกินวันที่ 30 มิ.ย.66 และ (3) ภาคใต้ จำนวน 14 จังหวัด กำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์ ไม่เกินวันที่ 31 ธ.ค.66
ส่วนการพิจารณาค่าสินไหมทดแทน จ่ายตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2562 และจ่ายเพิ่มเติมกรณีที่เสียหายจริงแต่ไม่อยู่ในเขตประสบภัยตามที่ราชการกำหนด โดยวิธีการประเมินรายแปลงที่เป็นพื้นที่แปลงปลูกเสียหายสิ้นเชิง โดยการแจ้งความเสียหายและแสดงหลักฐานการเสียหาย เกษตรกรต้องบันทึกข้อมูลผ่าน Application "มะลิซ้อน"
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบการดำเนินการของกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ดำเนินการตามมติ นบข. ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 27 เม.ย.65 เกี่ยวกับการศึกษาโครงการฯ กรณีให้ความคุ้มครองแก่เกษตรกรที่แปลงปลูกเกิดความเสียหายบางส่วนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสมาคมประกันวินาศภัยไทย (สมาคมฯ) ได้จัดทำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการฯ กรณีให้ความคุ้มครองแก่เกษตรกรที่แปลงปลูกเกิดความเสียหายบางส่วนแล้ว โดยมีสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 การจ่ายค่าสินไหมทดแทน สมาคมฯ อ้างอิงข้อมูลพื้นที่ประสบภัยพิบัติของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ตามแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงเพื่อรับค่าสินไหมทดแทน (กษ.02 เพื่อการประกันภัย) ที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) และผู้รับประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจริง ทั้งนี้ ไม่เกินพื้นที่ที่เอาประกันภัยไว้ โดยกรณีให้ความคุ้มครองแก่เกษตรกรที่แปลงปลูกเกิดความเสียหายบางส่วน หากแปลงเพาะปลูกของเกษตรกรได้รับความเสียหายแต่ไม่ได้เสียหายทั้งแปลง กรมส่งเสริมการเกษตรจะมีการตรวจนับความเสียหายตามที่เกิดขึ้นจริง และระบุชัดเจนว่ามีพื้นที่ได้รับความเสียหายจำนวนเท่าใด โดยรายงานผ่านระบบ กษ.02 เช่นเดียวกับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนในกรณีปกติ
1.2 กรณีแปลงเพาะปลูกของเกษตรกรเกิดความเสียหาย แต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน เกษตรกรจะต้องรายงานความเสียหายของแปลงเพาะปลูกให้สมาคมฯ ทราบผ่านแอปพลิเคชัน "มะลิซ้อน" โดยรูปแบบการประเมินความเสียหายจะใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์โดยมีภาพถ่ายดาวเทียมประกอบ และจะมีการประเมินความเสียหายของพื้นที่เช่นเดียวกับการประเมินของกรมส่งเสริมการเกษตร
2. รับทราบผลดำเนินงานโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2565 ถึงวันสิ้นสุดการจำหน่ายกรมธรรม์ (31 ธ.ค.65) มีพื้นที่เข้าร่วมโครงการฯ ในส่วนประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) จำนวน 26,754,809.50 ไร่ และในส่วนประกันภัยส่วนเพิ่ม (Tier 2) จำนวน 87,833.50 ไร่