นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการจดทะเบียนธุรกิจในเดือนมีนาคม 2566 และไตรมาส 1/66 ว่า ในเดือนมีนาคม 2566 มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศ 9,179 ราย เพิ่มขึ้น 28% จากมีนาคม 2565 มูลค่าทุนจดทะเบียน 299,608 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนถึง 1,055% ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 752 ราย คิดเป็น 8% ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 699 ราย คิดเป็น 7% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 440 ราย คิดเป็น 5%
ขณะที่ในช่วงไตรมาส 1/66 มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศ 26,182 ราย เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/65 ที่มี 15,692 ราย เพิ่มขึ้น 10,490 ราย คิดเป็น 67% และเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/65 ที่มี 22,347 ราย เพิ่มขึ้น 3,835 ราย คิดเป็น 17%
ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 2,118 ราย คิดเป็น 8% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,916 ราย คิดเป็น 7% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 1,228 ราย คิดเป็น 5% มูลค่าทุนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีจำนวนทั้งสิ้น 339,595 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/65 และเพิ่มขึ้นถึง 356 เท่า เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/65
สำหรับธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการ ในเดือนมีนาคม 2566 มีจำนวน 1,102 ราย คิดเป็นมูลค่าทุนจดทะเบียน 22,684 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 122 ราย คิดเป็น 11% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 58 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 29 ราย คิดเป็น 3%
โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการ ประจำไตรมาส 1/66 มีจำนวน 3,268 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 29,892 ล้านบาท สอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 352 ราย คิดเป็น 11% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 157 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 95 ราย คิดเป็น 3%
ส่งผลให้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 มีธุรกิจยังดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 865,987 ราย มูลค่าทุน 21.19 ล้านล้านบาท จำแนกเป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 202,061 ราย คิดเป็น 23.33% บริษัทจำกัด จำนวน 662,532 ราย คิดเป็น 76.51% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,394 ราย คิดเป็น 0.16%