นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงประเด็นค่าไฟฟ้าแพงว่า วันนี้ค่าไฟฟ้าแพง ถือเป็นปัญหาของทุกคนในประเทศ ไม่ใช่เฉพาะของภาคธุรกิจเท่านั้น ซึ่งหอการค้าไทย ร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้พยายามสื่อสารกับรัฐบาลถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องลดค่าไฟฟ้าลงในช่วงนี้ เพื่อให้ไม่เป็นปัญหาซ้ำเติมกับทุกภาคส่วนที่กำลังฟื้นตัวจากวิกฤตในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
"วันนี้ เห็นทิศทางที่ดีที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ยังติดล็อคกับปัญหาไฟฟ้า ที่ทำให้ภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจท่องเที่ยว ในกลุ่มของโรงแรม ที่พัก ธุรกิจค้าปลีก อย่างห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้า ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ กำลังเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากค่าไฟที่อยู่ในระดับสูง" นายสนั่น กล่าว
ประกอบกับช่วงนี้ประเทศไทยมีอากาศร้อนจัด หลายพื้นที่มีอุณหภูมิสูง ประชาชนเปิดเครื่องปรับอากาศ และพัดลมเพื่อช่วยคลายความร้อนจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีก) อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันค่าไฟฟ้าของไทย เป็นอัตราก้าวหน้า คือยิ่งใช้มากก็ต้องยิ่งจ่ายแพงมากขึ้น
นายสนั่น กล่าวว่า ปัญหานี้ หอการค้าไทย และ กกร.ให้ความสำคัญมาก และได้เคยมีหนังสือไปยังรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้อง ในการพิจารณาแนวทางการปรับค่าไฟฟ้าให้ลดลง จากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ที่ผ่านมา ที่ได้มีมติเห็นชอบค่า Ft เป็นอัตราเดียวกันสำหรับบ้านที่อยู่อาศัยและผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ เท่ากับ 98.27 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.77 บาทต่อหน่วย
ในครั้งนั้น กกร. มีความเห็นควรพิจารณาทบทวนค่า Ft งวดที่ 2 (พ.ค.-ส.ค. 66) เพื่อเป็นการลดภาระของภาคประชาชนในครัวเรือนและภาคธุรกิจ ทั้งข้อเสนอที่ให้มีการคงระยะเวลาการคืนหนี้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นระยะ 3 ปี ตามงวด 1/2566 ข้อเสนอการพิจารณาใช้ราคาที่สะท้อนแผนการนำเข้า LNG ในช่วงเดือน พ.ค-ส.ค. 66 แทนการใช้ข้อมูลราคาของเดือน ม.ค. 66 ซึ่งมีราคาที่สูงกว่า เพื่อบรรเทาผลกระทบราคาไฟฟ้า รวมถึงเร่งจัดตั้ง กรอ.พลังงาน เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมให้ความเห็นในการกำหนดนโยบายด้านพลังงาน
นายสนั่น กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันค่าไฟฟ้าในงวดที่ 2 (พ.ค.-ส.ค. 66) กกพ. มีมติเห็นชอบให้ลดลงจาก 4.77 บาทต่อหน่วย เหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย ถึงจะไม่ใช่ตัวเลขที่มากนัก แต่เป็นแนวโน้มที่ดีต่อภาคเอกชน และประชาชน และแม้จะอยู่ในช่วงรัฐบาลรักษาการก่อนการเลือกตั้ง แต่ภาคเอกชนอยากเห็นรัฐบาลกล้าตัดสินใจลดค่าไฟฟ้าทันที โดยไม่ได้มองว่าเป็นประเด็นที่จะใช้หาเสียงในช่วงเลือกตั้งหรือไม่
"ตอนนี้ ถือเป็นปัญหาที่ทุกภาคส่วนเห็นตรงกันทั่วประเทศ และหากปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อไปจนถึงรัฐบาลชุดใหม่ คงจะกระทบต่อภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอย่างมหาศาล" ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าว
ดังนั้น หากเร่งจัดตั้ง กรอ.พลังงาน พิจารณาปรึกษาหารือระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และตัวแทนภาคประชาชน โดยทุกฝ่ายร่วมกันพิจารณาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศร่วมกันใหม่ ก่อนสรุปเป็นตัวเลขในการลดค่าไฟฟ้า ชี้แจงรายละเอียดและความจำเป็นให้ทุกคนได้รับทราบ เชื่อว่าทุกภาคส่วนจะยอมรับ และช่วยบรรเทาความเดือนร้อนที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะนี้ต่อไปได้
อย่างไรก็ดี ต้องเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลชุดถัดไป ที่จะต้องสะสางปัญหาโครงสร้างค่าไฟฟ้าทั้งระบบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเช่นนี้ โดยเฉพาะความสามารถของผู้ประกอบการไทย ที่ยังแข่งขันไม่ได้จากต้นทุนด้านพลังงานที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน