ส่งออกเครื่องปรับอากาศไทยสดใส 2 เดือนแรกปีนี้ โต 11% แตะ 1.4 พันล้านดอลล์

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 27, 2023 11:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ส่งออกเครื่องปรับอากาศไทยสดใส 2 เดือนแรกปีนี้ โต 11% แตะ 1.4 พันล้านดอลล์

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลสถิติการค้าระหว่างประเทศ พบว่า เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย และมีมูลค่าการส่งออกเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศจำนวนมาก ปัจจุบัน ไทยเป็นผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน อันดับ 2 ของโลก

ล่าสุด ในช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ. 66) ไทยส่งออกเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนไปตลาดโลก มูลค่า 1,423 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวถึง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่างหรือติดผนัง มีสัดส่วนถึง 68% ของการส่งออกเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนทั้งหมด ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป อาเซียน ออสเตรเลีย อินเดีย และญี่ปุ่น ขณะที่ในปี 65 ไทยส่งออกเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนไปตลาดโลก มูลค่า 7,044 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 9%

ส่งออกเครื่องปรับอากาศไทยสดใส 2 เดือนแรกปีนี้ โต 11% แตะ 1.4 พันล้านดอลล์
"อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศของไทย มีโอกาสส่งออกไปตลาดโลกมากขึ้น เนื่องจากได้เปรียบด้านอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอย่างครบวงจร รวมทั้งการเติบโตของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยมีกับคู่ค้า 18 ประเทศ ขยายส่งออกสินค้าไปตลาดการค้าเสรี ซึ่งจะช่วยปลดล็อคกำแพงภาษี และสร้างแต้มต่อให้กับสินค้าไทย" นางอรมน กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันคู่ค้า FTA 16 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ไม่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนจากไทยแล้ว เหลือเพียง 2 ประเทศ ได้แก่ จีน และอินเดีย ที่ยังคงเก็บภาษีนำเข้าบางรายการ อาทิ จีน เก็บภาษีเครื่องปรับอากาศในยานยนต์ อัตรา 5% และอินเดีย เก็บภาษีเครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่างหรือผนัง และเครื่องปรับอากาศในยานยนต์ อัตรา 5%

นางอรมน กล่าวต่อว่า กรมฯ เดินหน้าผลักดันให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดสินค้าเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนเพิ่มเติมให้ไทย ภายใต้การเจรจา FTA กรอบต่างๆ ทั้งการทบทวนความตกลง FTA ที่มีอยู่แล้ว และที่อยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบทางด้านภาษี และช่วยขยายส่วนแบ่งตลาดให้กับสินค้าไทยในตลาดโลกเพิ่มขึ้น

ดังนั้น ผู้ประกอบการควรพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้ทันสมัย คำนึงถึงความต้องการของตลาด มุ่งเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน อาทิ การใช้เทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์ (Inverter) เพื่อประหยัดพลังงาน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือการควบคุมผ่านสมาร์ทโฟน เพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ