นายไพศาล หงษ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการและโฆษกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วางเป้าหมายสำหรับปีบัญชี 2566 (1 เม.ย.66 - 31 มี.ค.67) สินเชื่อเติบโตมากกว่า 35,000 ล้านบาท เงินฝากเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 12,000 ล้านบาท และ NPLs/Loan อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 6.70%
ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมการพัฒนาอาชีพ สร้างวินัยทางการเงินและการออมเงิน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สนับสนุนการแปรรูปและอุตสาหกรรมการเกษตร เน้นการเชื่อมโยงกับเครือข่ายด้านการเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่า ขับเคลื่อนนวัตกรรมการเกษตรไปสู่เกษตรมูลค่าสูง เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตและสร้างรายได้ที่มั่นคงยั่งยืนให้กับเกษตรกร รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มในการให้บริการแบบครบวงจร ตอบโจทย์ความต้องการในยุคดิจิทัล ทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการผลิต การเชื่อมโยงห่วงโซ่ธุรกิจภาคการเกษตร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตและสามารถจำหน่ายสินค้าเกษตร ได้ตรงกับความต้องการตลาดอย่างแท้จริง
ด้านการยกระดับชุมชนสู่ความยั่งยืน ธ.ก.ส. มุ่งเน้นการพัฒนาระบบเศรษฐกิจฐานรากภายใต้ BCG Model ได้แก่ การสนับสนุนเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัย การยกระดับการผลิตสู่เกษตรมูลค่าสูง การนำทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Zero Waste) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนคนรุ่นใหม่ (New Gen) ทายาทเกษตรกร และ Smart Farmer เข้าทดแทนเกษตรกรที่มีอายุมากขึ้น การยกระดับและต่อยอด SMEs วิสาหกิจชุมชนและสหกรณ์การเกษตรสู่การเป็นเกษตรหัวขบวน การสนับสนุนช่องทางการจำหน่ายให้กับเกษตรกรทั้งออฟไลน์และออนไลน์ การจับคู่ธุรกิจ การร่วมลงทุน (Venture Capital) กับบริษัทที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะมาช่วยสนับสนุนและต่อยอดธุรกิจการเกษตร หรือเป็น หัวขบวนที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาและสร้างเกษตรมูลค่าสูง การสนับสนุนและยกระดับชุมชนที่มีความพร้อมไปสู่ชุมชนอุดมสุขที่มีความมั่นคงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการร่วมมือกับภาคีเครือข่ายผ่านโครงการ 1 University 1 Community (1U1C) ในการเติมองค์ความรู้ด้านการพัฒนาการเกษตรอย่างต่อเนื่อง
นายไพศาล กล่าวอีกว่า ธ.ก.ส. มุ่งมั่นในดำเนินการตามพันธกิจในการเป็นธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับความสำเร็จให้กับเกษตรกรสู่อนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน โดยก้าวเดินและเติบโตไปพร้อม ๆ กับธนาคาร
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ได้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2566 (คาดการณ์ ณ มีนาคม 2566) จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3.5% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญจากภาคท่องเที่ยวและภาคบริการที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับการจ้างงานและรายได้ของครัวเรือนปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนการบริโภคในประเทศให้ขยายตัวได้ดีขึ้น ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐปี 2566 เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ที่ให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศ นอกจากนี้ ห่วงโซ่อุปทานการผลิตสามารถกลับมาดำเนินได้ตามปกติ ส่งผลให้ภาคการผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
สำหรับเศรษฐกิจเกษตร จะขยายตัวที่ 2.4% แม้ว่าจะมีปัจจัยกดดันจากการส่งออกสินค้าเกษตรที่คาดว่า จะปรับตัวลดลงตามเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญที่ขยายตัวลดลง อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และสถานการณ์ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังอาจเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญส่งผลกระทบต่อการผลิตข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง แนวโน้มราคาน้ำมันดิบลดลงกระทบต่อแนวโน้มราคายางพาราและราคาปาล์มน้ำมัน ประกอบกับต้นทุนค่าอาหารสัตว์สูงขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกจากการขยายตัวของเศรษฐกิจของจีนที่เพิ่มขึ้น (ผู้นำเข้าสินค้าเกษตรอันดับ 1 ของไทย) และนโยบายรัฐมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพด้านราคาสินค้าเกษตร ที่จะเป็นแรงสนับสนุนให้รายได้ในภาคเกษตรยังคงเติบโตได้จากปีก่อน