ธนาคารกลางยุโรปส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ย มุ่งควบคุมภาวะเงินเฟ้อ

          ธนาคารกลางยุโรปได้ส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤติสินเชื่อทั่วโลกในเดือนส.ค.ปี 2550 ซึ่งความเคลื่อนไหวในครั้งนี้มีจุดประสงค์ที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
          เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งรวมถึงนายอเล็กซ์ เวเบอร์ และคริสเตียน โนเบอร์ ได้ออกมากล่าวแสดงความคิดเห็นซึ่งทำให้นักลงทุนและนักวิเคราะห์มีมุมมองต่อนโยบายการเงินของธนาคารเปลี่ยนไปจากเดิม หลังจากที่ก่อนหน้านี้พวกเขาคาดว่า ECB จะปรับลดดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
          คำกล่าวของเจ้าหน้าที่ ECB มีขึ้นหลังจากที่ราคาน้ำมันและอาหารปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในเดือนมี.ค.ทะยานขึ้นสูงสุดในรอบ 16 ปีที่ 3.6% 
          ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของ ECB เกรงว่า อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจะกระตุ้นอุปสงค์ค่าจ้างแรงงานและส่งผลให้บริษัทต้องรับภาระค่าใช้จ่ายต้นทุนเพิ่มมากขึ้น โดยท่าทีที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงของธนาคารกลางยุโรปและเฟด ซึ่งเป็นธนาคารกลางมีบทบาทสำคัญที่สุดในโลกได้ช่วยหนุนให้เงินยูโรพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.60 ดอลลาร์ต่อยูโรเมื่อวานนี้     
          นิก คูนิส นักวิเคราะห์จากฟอร์ทิส แบงค์ เอ็นวี ซึ่งคาดว่า ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปในช่วงกลางปี 2552 กล่าวว่า "เจ้าหน้าที่ ECB ไม่ได้ออกมากล่าวว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในทันที แต่การแสดงถึงจุดยืนที่ชัดเจนกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่ตลาดจับตาในขณะนี้ ซึ่งถ้อยแถลงที่หนักแน่นดังกล่าวเป็นผลจากข้อเท็จจริงที่ว่า เงินเฟ้อกำลังขยายตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ" 
          สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ECB ได้คาดการณ์เมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า อัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับ 2.9% ในปีนี้ และลดลงมาที่ 2.1% ในปีหน้า โดยธนาคารตั้งเป้าที่จะควบคุมการขยายตัวของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ให้อยู่ต่ำกว่าระดับ 2% ขณะที่ดัชนี  UBS Bloomberg Constant Maturity Commodity Index ซึ่งชี้วัดความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ใช้เป็นวัตถุดิบ 26 รายการ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 37% ในปีที่ผ่านมา โดยมีราคาน้ำมัน ข้าวโพด ข้าวพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์