ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสัปดาห์ถัดไป (15-19 พ.ค.) ที่ระดับ 33.80-34.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์การเมืองและตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/66 ของไทย ผลการเจรจาแก้ปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและฟิลาเดลเฟียเดือนพ.ค. ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก การเริ่มสร้างบ้าน และยอดขายบ้านมือสองเดือนเม.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/66 และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนเม.ย. ของยูโรโซน รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจจีนในเดือนเม.ย. อาทิ การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
ในรอบสัปดาห์นี้ (8-12 พ.ค.) เงินบาทอ่อนค่ากลับมาทดสอบแนว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ช่วงปลายสัปดาห์ หลังแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 3 เดือนที่ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงแรก โดยเงินบาทขยับแข็งค่าตามจังหวะซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับเงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุน หลังจากการเจรจาเพื่อเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน และผู้นำของสภาคองเกรสยังคงไม่ได้ข้อสรุปร่วมกัน
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีปัจจัยลบจากตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ซึ่งชะลอลงมาที่ 4.9% YoY ในเดือนเม.ย. (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 5.0%) และหนุนการคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้มตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.00-5.25% ตามเดิมในการประชุมเดือนมิ.ย.นี้
อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงบวกและอ่อนค่ากลับมาทดสอบแนว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงปลายสัปดาห์ตามการปรับตัวลงของทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ประกอบกับน่าจะมีการปรับโพสิชั่นก่อนการเลือกตั้งของไทยในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค.นี้
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ (12 พ.ค.) เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 33.97 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับ 33.73 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันพุธก่อนหน้า (3 พ.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ระหว่างวันที่ 8-12 พ.ค.นั้น แม้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยประมาณ 4,673 ล้านบาท แต่ก็มีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทยถึง 36,854 ล้านบาท (ซื้อสุทธิ 42,908 ล้านบาท และมีตราสารหนี้หมดอายุ 6,054 ล้านบาท)