บีโอไอ-กนอ. จับมือโรดโชว์เกาหลีใต้ ตอกย้ำศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจในไทย พร้อมทั้งดึงการลงทุน สร้างคลื่นการลงทุนลูกที่สามในไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม EV เซมิคอนดัคเตอร์ การแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัล และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอ ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้เดินทางไปจัดสัมมนาเชิญชวนการลงทุนในหัวข้อ Thailand Investment Promotion Strategy: NEW Economy, NEW Opportunities ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อให้ข้อมูลการลงทุนและโอกาสในการร่วมมือทางธุรกิจระหว่างไทย-เกาหลี รวมถึงเปิดการเจรจาธุรกิจ และให้คำปรึกษาด้านการลงทุนเป็นรายบริษัท โดยมีนักลงทุนเข้าร่วมสัมมนากว่า 180 คน
ปัจจุบัน มีบริษัทเกาหลีใต้มากกว่า 400 ราย เข้ามาลงทุนในไทยและประสบความสำเร็จอย่างดี โดยบริษัทรายใหญ่หรือกลุ่มแชโบล เช่น ซัมซุง แอลจี พอสโก ฮันวา และฮันซอล ถือเป็นคลื่นการลงทุนลูกแรกจากเกาหลีที่เข้ามาไทยเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว และได้ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง หลังจากกลุ่มนี้เข้ามาตั้งฐานได้มั่นคงแล้ว ได้เริ่มนำกลุ่ม Supplier และพันธมิตรทางธุรกิจตามเข้ามาลงทุนเป็นคลื่นลูกที่สอง ทำให้ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา มีโครงการลงทุนจากเกาหลีใต้เข้ามาอย่างต่อเนื่องปีละเฉลี่ย 30 โครงการ เงินลงทุนราว 5,000 ล้านบาทต่อปี
แต่จากนี้ไป จะเป็นช่วงเวลาสำคัญของโลกยุคหลังโควิดที่มีความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะสงครามการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศ จะเป็นโอกาสที่ไทยและเกาหลีจะร่วมกันสร้างคลื่นลูกที่สามของการลงทุนเกาหลีในไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ทั้งสองประเทศมีความสนใจร่วมกัน และเกาหลีมีความเชี่ยวชาญ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดัคเตอร์ ระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัล โดยเฉพาะการพัฒนาเกมและระบบอัจฉริยะใน Smart City
รวมทั้งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น กรณีที่เครือซีพี ได้จับมือกับบริษัทเกาหลีหลายราย ทั้งกลุ่ม SM Entertainment, CJ Entertainment และล่าสุดคือ The Black Label ซึ่งอุตสาหกรรมเป้าหมายสาขาต่าง ๆ นี้ เป็นที่สนใจของนักลงทุนเกาหลีอย่างมาก และยุทธศาสตร์ใหม่ของบีโอไอ จะช่วยสนับสนุนให้เกิดคลื่นการลงทุนลูกที่สามจากเกาหลีได้ด้วย
เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า ในการสัมมนา ได้ชี้ให้นักลงทุนเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในด้านต่างๆ ทั้งในแง่ที่ตั้งซึ่งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาค มีระบบโลจิสติกส์เชื่อมโยงกับประเทศต่างๆ มีโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ซึ่งมีบริษัทเกาหลีตั้งอยู่จำนวนมาก อีกทั้งมีซัพพลายเชนที่ครบวงจร มีมาตรการสนับสนุนและสิทธิประโยชน์จากรัฐบาล มีขีดความสามารถในการจัดหาพลังงานสะอาดให้กับภาคอุตสาหกรรม เพื่อช่วยให้บริษัทชั้นนำของเกาหลีสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนที่ตั้งไว้ได้ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ที่ประเทศไทยเข้าร่วม ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถเป็นสะพานเชื่อมนักลงทุนเกาหลีกับภูมิภาคอาเซียนได้เป็นอย่างดี
"นอกจากดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตแล้ว บีโอไอยังชี้ให้บริษัทเกาหลีโดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานการผลิตในไทยอยู่แล้ว มองเห็นโอกาสและข้อได้เปรียบในการเข้ามาจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarter) และศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยด้วย โดยไทยมีมาตรการเตรียมพร้อมบุคลากรเพื่อรองรับธุรกิจทั้ง 2 สาขานี้ ซึ่งจะช่วยทำให้ฐานธุรกิจของเกาหลีในไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีความมั่นคงในระยะยาว" นายนฤตม์ กล่าว
ในงานสัมมนายังมีการบรรยายถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เกาหลีในมิติต่างๆ โดย นายวิชชุ เวชชาชีวะ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโซล, การบรรยายถึงความพร้อมของนิคมอุตสาหกรรมในการรองรับการลงทุน โดย นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ. และการบรรยายเกี่ยวกับโอกาสความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างไทย-เกาหลี โดยผู้บริหารภาคเอกชนชั้นนำของไทยและเกาหลี ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) บริษัท โมนามิ ผู้ผลิตเครื่องเขียนชั้นนำจากเกาหลี และสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของเกาหลี ซึ่งผู้แทนภาคเอกชนต่างได้ชี้ให้เห็นถึงความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมในการลงทุนของประเทศไทย และโอกาสการร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ การแพทย์ ดิจิทัล และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เป็นต้น
ขณะที่นายปาร์ค แจฮอง ประธานสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าของเกาหลี กล่าวว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญ ทั้งต่อการตอบโจทย์เรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม และการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉลี่ยแล้วอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ามีอัตราการเติบโตสูงถึงกว่า 30-40% ต่อปี แสดงถึงศักยภาพที่มีสูงมาก ทั้งเกาหลีใต้และไทยต่างได้ตั้งเป้าหมาย EV ที่ชัดเจน โดยเกาหลีใต้ได้ตั้งเป้าให้บริษัทเกาหลีผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 3.3 ล้านคันภายในปี 2030 ขณะที่ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 ดังนั้นเกาหลีใต้และไทย ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 5 และ 10 ของโลก จึงควรร่วมมือกันในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและระบบนิเวศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของทั้งสองประเทศ
ทั้งนี้ บีโอไอจะเข้าพบกับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายสำคัญ และผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำแบบครบวงจร เพื่อหารือถึงโอกาสและแผนการลงทุนในประเทศไทย พร้อมทั้งจัดประชุมโต๊ะกลมกับสมาชิกของสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของเกาหลี ทั้งผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ ผู้ผลิตชิ้นส่วนสำคัญ ผู้พัฒนาระบบจัดการแบตเตอรี่ และผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
ด้านนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า กนอ.ได้นำเสนอภาพรวมของการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับภาษี และไม่เกี่ยวกับภาษี พร้อมทั้งให้ความเชื่อมั่นกับนักลงทุนเกาหลีใต้ในการเข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของไทย
โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (Chip) มีการนำเสนอข้อมูลและศักยภาพนิคมอุตสาหกรรมของไทยที่พร้อมเป็นฐานการผลิต รวมทั้งการส่งเสริมการลงทุน ขณะเดียวกันยังเชิญชวนให้กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ และกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ เข้ามาลงทุนในประเทศไทย พร้อมให้ความมั่นใจว่า หากลงทุนในประเทศไทยต้องลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม
"เราได้แจ้งให้นักลงทุนเกาหลีใต้รับทราบถึงศักยภาพ และความพร้อมของนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 68 แห่ง ใน 16 จังหวัด ทั้งที่เป็นนิคมอุตสาหกรรมในกำกับของ กนอ. และนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานกับภาคเอกชนที่พร้อมรองรับการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของไทย ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนหลายชาติต่างชื่นชมว่า การลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพครบถ้วนและสมบูรณ์ นอกจากเรื่องของความสะดวกรวดเร็วแล้วยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี รวมถึงการขออนุมัติอนุญาตให้คนเข้ามาทำงานในประเทศอีกด้วย" นายวีริศ กล่าว
สำหรับการโรดโชว์ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีในการเจรจาธุรกิจครั้งใหญ่กับและบริษัทชั้นนำจากเกาหลีใต้ ที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีนวัตกรรมที่ทันสมัย และเป็นผู้นำเทคโนโลยีในหลายๆ อุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมหลัก เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมการแพทย์ และอุตสาหกรรมอาหารและเสริมความงาม เป็นต้น ซึ่งจากการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ กนอ.พยายามเจาะกลุ่มตลาดดังกล่าวด้วย เพื่อชักชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยให้มากยิ่งขึ้น
"เกาหลีใต้เป็นคู่ค้า (Partners) ที่ กนอ.ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ ซึ่งการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่า กนอ. และ บีโอไอ เน้นการทำงานเชิงรุก แต่ก็ติดตามความคืบหน้าไปด้วย รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าและนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง เป็นพันธมิตรระยะยาว ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นและไว้วางใจที่จะขยายการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง" นายวีริศ กล่าว