ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 1/66 ขยายตัว 0.51% ชะลอลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากการชำระคืนหนี้ของภาครัฐ ธุรกิจขนาดใหญ่ และ Soft loans รวมทั้งการบริหารจัดการคุณภาพหนี้ โดยธุรกิจขนาดใหญ่ส่วนหนึ่งระดมทุนผ่านตราสารหนี้
อย่างไรก็ดี สินเชื่อยังขยายตัวได้จากธุรกิจรายใหญ่ในภาคการเงินและพาณิชย์ รวมทั้งสินเชื่อรายย่อยพอร์ตที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นสำคัญ
ด้านคุณภาพสินเชื่อ ธนาคารพาณิชย์มีการบริหารจัดการคุณภาพหนี้และให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-Performing Loan: NPL หรือ stage 3) ณ ไตรมาส 1/66 ลดลงมาอยู่ที่ 498 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 2.68%
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 ปรับดีขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน ผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น สุทธิกับต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินรับฝากและ FIDF Fee กลับสู่ระดับปกติ ประกอบกับกำไร FVTPL จากตราสารอนุพันธ์เป็นสำคัญ แม้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานและค่าใช้จ่ายสำรองจะเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หากเทียบไตรมาสก่อน กำไรสุทธิลดลง 4% จากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับไตรมาสก่อนมีรายได้พิเศษจาก การขายและโอนพอร์ตสินเชื่อรายย่อย แม้ค่าใช้จ่ายสำรองและค่าใช้จ่ายดำเนินงานจะปรับลดลง
"ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง สามารถทำหน้าที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง" ธปท. ระบุ
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มครัวเรือนเปราะบางที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีหนี้สูง และการฟื้นตัวของธุรกิจบางกลุ่ม โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ทรงตัวจากไตรมาสก่อน ขณะที่ภาคธุรกิจ สัดส่วนหนี้สินภาคธุรกิจต่อ GDP ปรับลดลงต่อเนื่อง ด้านความสามารถในการทำกำไรปรับลดลง แต่ฐานะการเงินโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยยังต้องติดตามผลกระทบจากอุปสงค์ในตลาดโลกที่ชะลอลง และบางธุรกิจที่อ่อนไหวต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาสถาบันการเงินยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มเปราะบาง
น.ส.สุวรรณี กล่าวว่า หนี้เสียที่ปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการบริหารจัดการ ส่วนสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) ในระบบสถาบันการเงิน และ non bank ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. โดยปัจจุบันอยู่ที่ 6.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย
"เราเห็น แต่ไม่ถึงกับตกใจ และไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้จับตาดูตลอด และต้องเข้าไปช่วยเหลือให้ทัน ก่อนที่ลูกหนี้จะเป็นหนี้เสีย จึงมีมาตรการช่วยเหลือก่อนที่ลูกหนี้จะเป็นหนี้เสีย โดยสัดส่วนหนี้เสียค่อนข้างกระจายตัวในแต่ละสินเชื่อ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการส่งทีมเข้าไปคุยกับแบงก์และลูกหนี้ รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนมาตรการช่วยเหลือให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยต้องบอกว่าการมีหนี้เสียในธุรกรรมสินเชื่อเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ต้องทำคือการเข้าไปแก้ไขในภาวะที่ลูกหนี้มีการเสื่อมค่าลง" น.ส.สุวรรณี กล่าว
แนวโน้มหนี้เสียได้ผ่านช่วงหนักที่สุด คือ การไม่มีรายได้ของประชาชนมาแล้ว จากนโยบายของรัฐที่พยายามให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่ง ธปท.ไม่ได้คาดการณ์ว่าตัวเลขหนี้เสียจะเป็นอย่างไร แต่ที่ผ่านมาได้พยายามดูแลลูกหนี้ที่เดือดร้อน และยังมีศักยภาพในการจ่ายหนี้ได้ แต่ได้รับผลกระทบชั่วคราวอย่างเต็มที่ โดยขอให้เจ้าหนี้ปรับโครงสร้างหนี้ และดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือ แม้มาตรการที่ออกไปอาจจะช่วยไม่ได้ทุกคน แต่ก็ช่วยให้สัดส่วนหนี้เสียไม่ได้สูงขึ้น โดยลูกหนี้ภายใต้มาตรการลดน้อยลงมาก และหลังจากสถานการณ์ต่าง ๆ ดีขึ้น ก็เชื่อว่าลูกหนี้จะกลับมาชำระหนี้ได้" นางสาวสุวรรณี กล่าว
น.ส.สุวรรณี กล่าวถึงความคืบหน้าในเรื่องการทบทวนโครงสร้างการคิดค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ว่า ขณะนี้ ธปท. อยู่ระหว่างการหารือกับสถาบันการเงินเกี่ยวกับการทบทวนโครงสร้างค่าธรรมเนียมทั้งหมด ซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมการกดเงินไม่ใช่บัตรด้วย โดยหลักการคือจะต้องมีความเหมาะสม และสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และต้องส่งเสริมการใช้ Digital Payment รวมถึงต้องคำนึงถึงความจำเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชนที่จะต้องเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย โดยการดำเนินการดังกล่าวไม่ได้มีการกำหนดกรอบเวลาไว้แต่อย่างใด