ดีลอยท์ เผยผลสำรวจผู้บริโภคกว่า 26,000 คนจาก 24 ประเทศทั่วโลก ในระหว่างเดือน ก.ย.-ต.ค.65 เกี่ยวกับประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อภาคยานยนต์ รวมถึงความสนใจของผู้บริโภคในการยอมรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) การรับรู้แบรนด์ และเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งครอบคลุมผู้บริโภคในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 6,000 คน ทั้งในไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และสิงคโปร์ โดยมีกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคคนไทยประมาณ 1,000 คน พบว่า
- พาหนะที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในยังคงเป็นทางเลือกหลักของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนไทยร้อยละ 31 คิดว่าจะเลือกรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle - BEV) เป็นพาหนะคันต่อไป นับเป็นสัดส่วนสูงที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เหตุผลสำคัญที่สุดของคนไทยและภูมิภาคคือต้องการลดรายจ่ายด้านราคาเชื้อเพลิง
- สำหรับผู้ที่เลือกจะใช้ BEV เป็นคันต่อไป ความกังวลเกี่ยวกับสถานีชาร์จสาธารณะเป็นอันดับสูงสุดของคนไทยและภูมิภาค โดยความต้องการสถานีชาร์จที่สร้างเฉพาะสำหรับ BEV เป็นตัวเลือกอันดับ 1
- คนไทยรับได้กับการรอชาร์จไฟฟ้ารถระหว่าง 10-60 นาที และคาดหวังระยะวิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้งในเป็นระยะทาง 300-500 กิโลเมตร โดยคนไทยต้องการใช้แอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนเป็นช่องทางในการชำระค่าชาร์จไฟฟ้าสูงที่สุดในภูมิภาค
- คนไทยและภูมิภาคระบุว่า อยากได้รถมือหนึ่งเป็นรถคันต่อไป โดยคนไทยจะตัดสินใจเลือกซื้อรถคันต่อไปจากจากคุณภาพผลิตภัณฑ์ คุณสมบัติของรถ (Features) และภาพลักษณ์ของแบรนด์
- ดีลเลอร์ยังคงเป็นทางเลือกที่ผู้บริโภคให้ความไว้วางใจมากที่สุดโดยเฉพาะกับรถมือหนึ่ง ส่วนกลุ่มลูกค้ารถมือสองเลือกศูนย์บริการหลังการขายที่ตอบโจทย์ด้านราคา และความสะดวกสบาย
- กลุ่มตัวอย่างลูกค้าคนไทยเปิดใจที่จะอนุญาตให้รถเชื่อมต่อเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลมากกว่าภูมิภาค โดยคาดหวังประโยชน์ด้านการซ่อมบำรุง การประเมินค่าบำรุงจากนิสัยการขับขี่ และการแนะนำเส้นทางขับที่ปลอดภัย มีคำแนะนำที่เฉพาะสำหรับการลดค่าซ่อม
- ข้อมูลที่คนไทยยอมรับได้ในการให้รถแลกเปลี่ยนกับการเชื่อมต่อ ได้แก่ ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ (Biometric Data) และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ของตัวรถ
- หากต้องมีการจ่ายค่าบริการเสริมอื่น ๆ เพื่อการเชื่อมต่อ คนไทยและคนส่วนใหญ่ของภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงเลือกที่จะจ่ายตามจริงเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือการจ่ายครั้งเดียว และจ่ายรายเดือน
Deloitte Global Automotive Consumer Study ระบุวาจากรายงาน Global Automotive Consumer Study 2023 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในยังคงเป็นทางเลือกหลักของภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ร้อยละ 31 ของคนไทยที่ร่วมตอบแบบสอบถามคิดว่าจะเลือกรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ (BEV) เป็นพาหนะคันต่อไป นับเป็นสัดส่วนสูงที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ดีอัตราการเติบโตของความต้องการ BEV สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั้งภูมิภาคเมื่อเทียบกับผลการสำรวจในปีก่อนหน้า เหตุผลสำคัญที่สุดของคนไทยและภูมิภาคคือต้องการลดรายจ่ายด้านราคาเชื้อเพลิง สำหรับคนไทยให้เหตุผลรองลงมาในการตัดสินใจเลือก BEV เพราะต้องการประสบการณ์ในการขับขี่ที่ดีกว่า และการมีรถที่สามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรองยามฉุกเฉินได้
สำหรับผู้ที่เลือกจะใช้ BEV เป็นคันต่อไป ความกังวลเกี่ยวกับสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะเป็นอันดับสูงสุดของคนไทยและภูมิภาคที่ร้อยละ 48 และ ร้อยละ 54 ตามลำดับ รองลงมาคือเวลาในการชาร์จ และราคาของรถ BEV ที่จะแพงกว่ารถในระดับเดียวกัน ทั่วทั้งภูมิภาคระบุตรงกันว่าต้องการชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้านมากที่สุด แต่ถ้าเป็นพื้นที่สาธารณะ คนไทยถึงร้อยละ 51 ต้องการสถานีชาร์จไฟฟ้าที่สร้างเฉพาะสำหรับรถ EV รองลงมาคือการปรับปรุงสถานบริการน้ำมันเดิมให้สามารถรองรับการชาร์จรถไฟฟ้าได้ ที่ร้อยละ 26
โดยคนไทยรับได้กับการรอชาร์จไฟรถระหว่าง 10-60 นาทีถึงร้อยละ 64 และ ผู้เข้ารวมการตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 41 คาดหวังระยะวิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ในระยะทาง 300-500 กิโลเมตรต่อการชาร์จ โดยแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนเป็นช่องทางหลักที่คนไทยต้องการใช้ในการชำระค่าชาร์จไฟฟ้าสูงที่สุดในภูมิภาคถึงร้อยละ 67 เทียบกับภูมิภาคที่ร้อยละ 51
คนไทยสูงถึงร้อยละ 91 ระบุว่าต้องการรถมือหนึ่งเป็นรถคันต่อไป โดยจะตัดสินใจเลือกซื้อรถคันต่อไปจากคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 64 คุณสมบัติของรถ (Features) ร้อยละ 49 และภาพลักษณ์ของแบรนด์ ร้อยละ 37
ดีลเลอร์ยังคงเป็นทางเลือกที่กลุ่มตัวอย่างลูกค้าคนไทยให้ความไว้วางใจมากที่สุด โดยเฉพาะกับรถมือหนึ่ง ผู้ตอบแบบสอบถามถึงร้อยละ 85 บอกว่าจะเลือกใช้บริการบำรุงรักษารถจากศูนย์บริการมาตรฐาน สำหรับรถมือสอง ผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 45 เลือกใช้บริการศูนย์บริการหลังการขาย ซึ่งตอบโจทย์ด้านราคา และความสะดวกสบาย
กลุ่มตัวอย่างลูกค้าคนไทยเปิดใจที่จะอนุญาตให้รถเชื่อมต่อเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลมากที่สุดในภูมิภาค เกือบครึ่งระบุว่าไม่กังวลกับการให้ข้อมูลของรถ โดยคาดหวังประโยชน์ด้านการบำรุงรักษา ร้อยละ 85 การประเมินราคาซ่อมบำรุงจากนิสัยการขับขี่ร้อยละ 84 และ การแนะนำเส้นทางขับที่ปลอดภัย ร้อยละ 86 และคำแนะนำเฉพาะสำหรับแนวทางลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ร้อยละ 86 โดยข้อมูลที่คนไทยยอมรับได้ในการให้รถแลกเปลี่ยนกับการเชื่อมต่อ ได้แก่ ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ และ เซ็นเซอร์ต่าง ๆ ของตัวรถ หากต้องมีการจ่ายค่าบริการเสริมอื่น ๆ เพื่อการเชื่อมต่อ คนไทยและภูมิภาคเลือกที่จะจ่ายตามจริงถึงร้อยละ 49 และ ร้อยละ 44 ตามลำดับ การเลือกจ่ายครั้งเดียวรวมกับราคารถ หรือ จ่ายรายเดือนเป็นตัวเลือกในลำดับถัดมา
นายมงคล สมผล Automotive Sector Leader ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ในครั้งนี้เป็นที่น่าจับตามองมาก เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศไทยที่มีห่วงโซ่อุปทานแยกย่อยออกไปในหลาย ๆ มิติ มีผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาลงทุนเป็นอย่างมาก ความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคจะเป็นโจทย์สำคัญที่ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัว
ขณะที่ นายโชดก ปัญญาวรานันท์ Clients & Markets Manager ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า รายงานฉบับนี้สะท้อนให้เห็นโอกาสทางธุรกิจ และ ผู้เล่นรายใหม่ที่จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคที่กำลังจะเปลี่ยนไป
"อย่างไรก็ดี ทุกอย่างอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งปัจจัยด้านราคาพลังงาน เทคโนโลยี และความต่อเนื่องของการสนับสนุนจากรัฐ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองและติดตามความเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดต่อไป"นายมงคล กล่าว