นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวภายหลังร่วมกิจกรรม "ผู้ว่า กทม. สัญจร เขตพญาไท" เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามนโยบาย หลังจากที่ไม่ได้สัญจรมาในช่วงเลือกตั้งว่า เรื่องที่จะฝากไปถึงรัฐบาลใหม่ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากคือ เรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เดิมการเก็บภาษีโรงเรือนจะคิดจากรายได้ 12.5% เพื่อมาเป็นรายได้ของเขต แต่เมื่อมีการเปลี่ยนรูปแบบภาษีใหม่โดยคิดตามมูลค่าที่ดิน กลับทำให้รายได้ลดลง โดยยกตัวอย่าง เขตพญาไท ก่อนที่จะเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บภาษี สามารถจัดเก็บได้ประมาณ 300 ล้านบาท เมื่อเปลี่ยนรูปแบบภาษีทำให้รายได้ลดลงเหลือประมาณ 200 ล้านบาท
นายชัชชาติ กล่าวว่า การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ผู้ที่มีรายได้มากจะต้องเสียภาษีมาก แต่พบว่าไม่ได้เป็นไปตามนั้น ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในพื้นที่พญาไท เดิมเสียภาษี 10 ล้านบาท แต่เมื่อเก็บภาษีรูปแบบใหม่ เสียภาษีเพียง 1 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าภาษีลดลงถึง 10 เท่า หรืออาคารสำนักงานใหญ่แห่งหนึ่ง เดิมเสียภาษีกว่า 11 ล้านบาท เพราะคำนวณจากค่าเช่าภายในสำนักงาน แต่เมื่อคิดภาษีรูปแบบใหม่ เหลือเพียง 7 แสนบาท เพราะคิดตามมูลค่าที่ดิน และยิ่งเป็นอาคารเก่าก็ต้องคิดค่าเสื่อมเพิ่มไปอีก ในขณะที่ห้องเช่าซึ่งเป็นอาคาร เดิมเก็บได้ 4 ล้านกว่าบาท ภาษีใหม่เก็บได้เพียง 7 แสนบาท เพราะเจ้าของได้ย้ายชื่อมาอยู่ในห้องเช่าทำให้กลายเป็นที่อยู่อาศัยและจะเสียภาษีในอีกอัตราหนึ่ง
เรื่องนี้ต้องฝากไปถึงรัฐบาลและรัฐสภาใหม่ เพื่อให้สรุปและทบทวนผลกระทบที่เกิดขึ้นและสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้จริง รวมทั้งพิจารณาเงินในส่วนที่ยังค้างกทม.อยู่ เนื่องจากนโยบายการลดภาษีหากคืนเงินมาได้ ท้องถิ่นจะมีเงินสามารถนำไปบริหารตามหลักกระจายอำนาจได้มากขึ้น