นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน เม.ย.66 อยู่ที่ระดับ 83.51 หดตัวที่ 8.14% เมื่อเทียบจากเดือน เม.ย.65 เนื่องจากภาคการผลิตอุตสาหกรรมไทยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่หดตัวลง ต้นทุนการผลิตและต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น กดดันภาคการส่งออกและขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมไทยลดลง
ขณะที่ดัชนี MPI 4 เดือนแรกปี 66 อยู่ที่ระดับ 96.87 หดตัว 4.69% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านอัตราการใช้กำลังการผลิต (CapU) อยู่ที่ 53.82% และช่วง 4 เดือนแรกปี 66 เฉลี่ยอยู่ที่ 61.31%
พร้อมกันนี้ได้ปรับประมาณการดัชนี MPI และ GDP ภาคอุตสาหกรรม ปีนี้ขยายตัวที่ 0.0-1.0% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.5-2.5%
"ดัชนี MPI หดตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 สอดคล้องกับทิศทางการส่งออก ซึ่งถือว่าหดตัวค่อนข้างรุนแรง" นางวรวรรณ กล่าว
นางวรวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกที่หดตัวและปัญหาภาคการเงินของสหรัฐฯ ทำให้ประเทศคู่ค้าชะลอคำสั่งซื้อสินค้าในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากค่าไฟฟ้าและต้นทุนทางการเงินจากการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้น เริ่มมีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยให้ปรับลดลง และมีผลต่อการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมได้น้อยลง ทั้งนี้ต้องจับตาอุตสาหกรรมที่เคยเติบโตดีแต่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวจากความต้องการทั้งในประเทศที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะในรถกระบะ 1 ตัน เนื่องจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ อย่างไรก็ดี การบริโภคในประเทศยังขยายตัวจากเศรษฐกิจในประเทศทยอยปรับดีขึ้นต่อเนื่อง
"สศอ.คาดการณ์ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคมปี 2566 ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง โดยมีปัจจัยบวกจากการบริโภคและการท่องเที่ยว อีกทั้งการลงทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ต้องจับตาดูการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ปัญหาภาคการเงินของสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อผลผลิตการเกษตร อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ภาระหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น" นางวรวรรณ กล่าว
- น้ำตาล ขยายตัวเพิ่มขึ้น 19.15% จากผลิตภัณฑ์น้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์เป็นหลัก เนื่องจากความต้องการบริโภคทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง รวมถึงผลผลิตของน้ำตาลต่อตันอ้อยโดยเฉลี่ยสูงขึ้น
- ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.87% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และน้ำมันเครื่องบิน เป็นหลัก ตามปริมาณการเดินทางที่เพิ่มขึ้น โดยนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เพิ่มขึ้นสู่ระดับใกล้เคียงกับช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 เช่นเดียวกับการเดินทางในประเทศที่กลับสู่ระดับปกติ
- มอลต์และสุราที่ทำจากข้าวมอลต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 17.58% เนื่องจากความต้องการบริโภคที่มากขึ้นในเทศกาลสงกรานต์ รวมถึงการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น
- น้ำมันปาล์ม ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.92% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ โดยในปีนี้มีปริมาณผลปาล์มเข้าสู่โรงงานพร้อมกันจำนวนมาก ซึ่งปีนี้ผลปาล์มมีมากกว่าปีก่อน ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มปรับลดลง ความต้องการในประเทศจึงปรับเพิ่มขึ้นตาม
- ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษและกระดาษแข็ง ขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.14% จากผลิตภัณฑ์กระดาษพิมพ์เขียน เป็นหลัก เนื่องจากปีนี้สามารถเปิดเรียน Onsite เต็มรูปแบบ ทำให้มีการใช้กระดาษพิมพ์เขียนมากขึ้น ประกอบกับอานิสงส์จากการใช้กระดาษในกิจกรรมการเลือกตั้ง
- HDD หดตัวลดลง -41.59% จากการพัฒนาเทคโนโลยีความจุ ทำให้ปริมาณการผลิตน้อยลง แต่ราคาแพงขึ้นตามความจุ
- เหล็กและเหล็กกล้า หดตัวลดลง -23.36% จากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และมีการชะลอคำสั่งซื้อเนื่องจากราคาผันผวน
- เฟอร์นิเจอร์ หดตัวลดลง -36.03% จากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ
- อาหารสัตว์สำเร็จรูป หดตัวลดลง -15.52% จากการสต๊อกสินค้าล่วงหน้าเป็นจำนวนมากในปีก่อน
- เครื่องประดับเพชรพลอยแท้ หดตัวลดลง -35.24% จากคำสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้าลดลง
สำหรับอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้ยาก เพราะแทบจะแข่งขันไม่ได้แล้ว ได้แก่ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไม้, อุตสาหกรรมถุงมือยาง, อุตสาหกรรมเหล็ก, อุตสาหกรรมสิ่งทอ โดดยต้องเข้าไปศึกษาข้อมูลเชิงลึกเพื่อหาทางรอด เช่น การส่งออกในอุตสาหกรรมสิ่งทอที่มีแนวโน้มลดลง แต่หากเป็นการส่งออกเส้นใยกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่า ดัชนีอุตสาหกรรมในเดือน พ.ค.66 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากดัชนีฯ ในเดือน เม.ย.จะเป็นระดับที่หดตัวสูงสุดแล้ว