นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง และนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ร่วมเป็นสักขีพยานลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงเพื่อขยายความร่วมมือโครงการยกระดับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมยางพารา (CARE) เพื่อยกระดับซัพพลายเชนอุตสาหกรรมยางพาราให้สามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทั้งด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมมากขึ้น
ปัจจุบันการส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ มีมูลค่ากว่า 680,000 ล้านบาทต่อปี ครอบคลุมผู้เกี่ยวข้องจำนวนกว่า 6 ล้านคน ตั้งแต่ต้นน้ำ ได้แก่ เกษตรกรชาวสวนยาง ครอบคลุมพื้นที่สวนยางกว่า 18 ล้านไร่ จนถึงกลางน้ำ อาทิ โรงงานผลิตน้ำยางข้น โรงงานผลิตยางแห้ง โรงงานแปรรูปไม้ยาง และปลายน้ำ อาทิ ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ยางที่ใช้ในงานก่อสร้างและงานวิศวกรรม สายพาน เฟอร์นิเจอร์ไม้ยาง วัสดุก่อสร้าง ของเล่น ผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางอื่นๆ สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าให้แก่ผู้ซื้อ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมและบริการที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย
โดยหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการ จะดำเนินการช่วยเหลือและสนับสนุนตามพันธกิจเพื่อสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสาร โอกาส และเงินทุนอย่างบูรณาการ อาทิ การให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ การส่งออก การจัดการเงินทุน นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารและโอกาสทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการทุกระดับ การพัฒนาแนวทางสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม ตลอดจนการติดตามและประเมินผลเพื่อปรับปรุงโครงการให้เหมาะสมเป็นระยะ เพื่อให้สามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ของโครงการ
สำหรับเป้าหมายของโครงการ ได้แก่ การยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรชาวสวนยาง การผลักดันสินค้าและการบริหารจัดการให้ได้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและการดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy) การเพิ่มมูลค่าสินค้ายางพาราและมูลค่าการส่งออกของไทย การให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการและการบริหารการเงิน ความรู้ด้านการส่งออก และความรู้อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการเป็นต้นแบบการบูรณาการความร่วมมือในระบบห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ต่อไป
ทั้งนี้ ในช่วงแรกของการดำเนินงานภายใต้หนังสือแสดงเจตจำนงฉบับแรก หน่วยงานพันธมิตรจะประชาสัมพันธ์โครงการไปยังสมาชิกในซัพพลายเชน รวมถึงการจัดตั้งศูนย์บูรณาการอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจร ณ นิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง จังหวัดระยอง เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานแบบครบวงจรให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่
รมว.คลัง กล่าวว่า การลงนามขยายความร่วมมือการดำเนินโครงการครั้งนี้ คาดว่าจะสามารถสนับสนุนด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ในอุตสาหกรรมยางพาราไทย เป็นวงเงินจำนวน 2,000 ล้านบาทในปี 2566 เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงองค์ความรู้ที่จำเป็น ตลอดจนขยายโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ได้อย่างมาก ทำให้ยางพาราไทยมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับประเทศและระดับโลก
อนึ่ง การลงนามความร่วมมือจากหลายองค์กรในวันนี้ ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (TNSC), การยางแห่งประเทศไทย (กยท.), ธนาคารกรุงไทย (KTB), ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.), ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK), บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.), นิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง จ. ระยอง, บมจ. ไทยฮั้วยางพารา และบริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด (CPAC)