กกร.คงคาดการณ์ GDP ปีนี้ 3-3.5% ส่งออก-เงินเฟ้อยังกดดันศก.ไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday June 7, 2023 12:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

กกร.คงคาดการณ์ GDP ปีนี้ 3-3.5% ส่งออก-เงินเฟ้อยังกดดันศก.ไทย

ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 3-3.5% จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยคาดว่าทั้งปีนี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยถึง 30 ล้านคน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการจ้างงาน นอกจากนี้ รายได้ภาคเกษตร และเกษตรอุตสาหกรรมยังขยายตัว ทำให้ในภาพรวมผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น มีการใช้จ่าย และการบริโภคมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ภาคอุตสาหกรรมและการส่งออก ยังได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวที่ล่าช้าของเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่าการส่งออกของไทยในปีนี้ จะหดตัวอยู่ในช่วง -1 ถึง 0%

ขณะที่เศรษฐกิจไทย ยังอาจได้รับแรงกดดันจากด้านเงินเฟ้อเพิ่มเติม จากปรากฎการณ์เอลนีโญ ที่จะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร และราคาสินค้าในระยะข้างหน้า รวมถึงหากมีการปรับขึ้นค่าแรงในอนาคต โดยคาดว่าปีนี้ อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.7-3.2%

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธาน ที่ประชุม กกร. มองว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในขณะนี้ การดูแลนักท่องเที่ยวให้มีความสะดวก ปลอดภัย จะเป็นแรงจูงใจดึงดูดให้ต่างชาติเลือกเดินทางเข้ามาในประเทศมากขึ้น ดังนั้นภาครัฐควรมีมาตรการสนับสนุนเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ประเทศไทยมีโอกาสในการดึงดูดนักธุรกิจจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนและทำงานเป็น Hub มากขึ้น จากอานิสงส์ของความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิต เนื่องจากประเทศไทยถือเป็นเป้าหมายของนักลงทุนทั่วโลก ดังนั้น ภาครัฐควรมีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน โดยเฉพาะการปฏิรูปกฏหมาย กฏระเบียบเพื่อยกระดับความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) เช่น การปรับปรุงปฏิรูปการขอวีซ่าให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นต้น

"ที่ประชุม กกร. มีความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่งติดลบติดต่อกัน 7 เดือน ทำให้คำสั่งซื้อลดลง แต่ภาคอุตสาหกรรมยังคงต้องมีการรักษาการผลิต เพื่อพยุงการจ้างแรงงานให้ไม่ได้รับผลกระทบ หากการส่งออกยังไม่มีการฟื้นตัว อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยมี 19 กลุ่มอุตสาหกรรม จาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรกล เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น" นายผยง กล่าว

สำหรับประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยแล้งนั้น ที่ประชุม กกร. มองว่าเป็นเรื่องที่มีผลกระทบในระดับสูงในภาวะที่ทั่วโลกเผชิญกับปัญหาเอลนีโญในปีนี้ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ 36,000 ล้านบาท โดย กกร. ได้มีการทำหนังสือส่งถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 66 เสนอให้เร่งจัดทำมาตรการรับมือภัยแล้ง ทั้งในระยะเร่งด่วน และระยะยาว ซึ่งปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม เป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสของประเทศ ภาครัฐควรบูรณาการแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว

นายผยง กล่าวว่า ที่ประชุม กกร. มีความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในหมวดอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัดส่วนค่าครองชีพของผู้บริโภคที่สูงขึ้นกว่าในอดีต และอาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากปัญหาภัยแล้ง นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อยังมีปัจจัยกดดันที่อาจอยู่สูงต่อเนื่อง จากการส่งผ่านราคาของผู้ประกอบการจากภาระต้นทุนที่อยู่ในระดับสูง และมีปัจจัยที่อาจกระทบต่อเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ได้แก่ แนวโน้มค่าแรงขั้นต่ำที่อาจเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า

หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท/วัน อาจทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นถึง 0.82% ถ้าไม่มีการเพิ่มทักษะแรงงานและผลิตภาพแรงงานให้เหมาะสมไปพร้อมกับการปรับเปลี่ยน และยังมีปัจจัยด้านราคาน้ำมันดีเซลที่อาจเพิ่มสูงขึ้น หากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท สิ้นสุดลงในวันที่ 20 ก.ค. 66 ซึ่งเป็นต้นทุนค่าขนส่งของผู้ประกอบการ ปัจจัยเหล่านี้จะกดดันต้นทุนของทั้งผู้ประกอบการและครัวเรือน

ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจซ้ำเติมต้นทุนของผู้ประกอบการโดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ดังนั้นมองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะต้องรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และไม่ทั่วถึง เพื่อช่วยพยุงให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ