ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ค.สูงสุดรอบ 39 เดือน เลือกตั้ง-ท่องเที่ยวหนุนศก.

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday June 8, 2023 11:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ค.สูงสุดรอบ 39 เดือน เลือกตั้ง-ท่องเที่ยวหนุนศก.
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนพ.ค.66 อยู่ที่ระดับ 55.07 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 และสูงสุดในรอบ 39 เดือน นับตั้งแต่มี.ค.63

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 50.2 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 52.8 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 64.2 ซึ่งดัชนีทุกรายการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ปัจจัยบวกที่สำคัญ คือ 1.บรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งที่คึกคัก ส่งผลให้มีเม็ดเงินสะพัดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น 2.สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เผย จีดีพีไตรมาส 1/66 ขยายตัว 2.7% เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า คาดทั้งปีจีดีพี โต 3.2% จากปัจจัยหนุนภาคท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน 3.นักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้าไทยมากขึ้น ส่งผลดีให้เม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น 4.ราคาพืชผลเกษตรหลายรายการปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อรายได้เกษตรกร และกำลังซื้อในภูมิภาค 5.ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับตัวลดลง 6.เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ค.สูงสุดรอบ 39 เดือน เลือกตั้ง-ท่องเที่ยวหนุนศก.

ขณะที่ยังมีปัจจัยลบ ได้แก่ 1. ผู้บริโภคกังวลปัญหาเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า รวมทั้งภาวะค่าครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูง 2.ความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล และเสถียรภาพทางการเมือง 3.สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภาคการเงินในสหรัฐ มีผลทางจิตวิทยาเชิงลบ 4.คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% 5. การส่งออกไทย เดือนเม.ย. หดตัว 7.6%

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 39 เดือนนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นมา เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ตลอดจนบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งที่คึกคักทั่วประเทศ ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น

อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ทุกรายการ ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ระดับ 100) เนื่องจากผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้าจากวิกฤตโควิด-19 อัตราเงินเฟ้อสูง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐที่ไม่มั่นคงเข้ามาซ้ำเติม ยิ่งส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบอย่างมากต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังมีความกังวลต่อความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังไม่นิ่ง รวมทั้งความชัดเจนของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ว่าจะเป็นใคร การประท้วงนอกสภาฯ จะมีขึ้นหรือไม่ จึงทำให้สถานการณ์ในช่วงนี้ เป็นภาพที่การเมืองเข้ามาเป็นตัวกำหนดทิศทางความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

"ในภาพรวม ความเชื่อมั่นยังเป็นขาขึ้น แต่ก็ขึ้นได้ไม่แรงนัก เพราะคนยังห่วงภาพอนาคตว่าจะมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด ทั้งจากความไม่แน่ใจในเสถียรภาพการเมืองที่อาจจะยาวไปถึงสิ้นปี ต้นทุนค่าครองชีพที่ยังสูง ทำให้เกิดความระมัดระวังในการใช้จ่าย จึงทำให้ขณะนี้ การเมืองเข้ามาปกคลุมเศรษฐกิจมากพอสมควร ต้องรอให้ผ่านไปสัก 3-4 เดือน ถึงจะชี้ได้ว่าความเชื่อมั่นจะกลับมาได้มากน้อยขนาดไหน" นายธนวรรธน์กล่าว

พร้อมระบุว่า สำหรับทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่าจะมีความเข้มแข็งมากขึ้น เพราะภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการมีสัญญาณฟื้นตัวมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจในเอเชียที่มีแนวโน้มเติบโตดี จะช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในภาพรวม ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยให้ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี ยังมีความกังวลกับนโยบายการปรับขึ้นค่าแรง, ต้นทุนการผลิตสินค้าที่สูงขึ้น การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่นิ่ง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะยังเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย ขณะเดียวกัน เชื่อว่ามุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อสถานการณ์ทางการเมืองของไทยขณะนี้ คือ Wait and See

"ในส่วนของนักลงทุนต่างชาตินั้น ไม่ได้มีสัญญาณของการขาดความมั่นใจ ไม่มีสัญญาณที่จะถอนการลงทุน เพียงแต่ตอนนี้ เป็นช่วงของการ Wait and See รอดูว่าใครจะได้เป็นรัฐบาล นโยบายรัฐบาลจะออกมาอย่างไร เชื่อว่าเมื่อมีรัฐบาล และมีการประกาศนโยบายรัฐบาลต่อสภาฯ แล้ว นักลงทุนจึงจะเริ่มตัดสินใจได้มากขึ้น" นายธนวรรธน์ กล่าว

นายธนวรรธน์ มองว่า หากมีการตั้งรัฐบาลได้เร็วภายในเดือนส.ค. ก็จะส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนนโยบายในด้านต่างๆ รวมทั้งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ คาดว่ามีโอกาสที่ GDP จะโตได้ 3.6-4% แต่หากเดือน ก.ย.หรือ ต.ค. ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ GDP ปีนี้ก็อาจจะโตได้ราว 3%

อย่างไรก็ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ยังคงประมาณการ GDP ปีนี้ไว้ที่ 3.6% แต่อาจจะมีการปรับประมาณการอีกครั้งในช่วงเดือน ก.ค.66


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ