นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 30 ในเดือนมิ.ย. 66 ภายใต้หัวข้อ "การส่งออกหดตัว กระทบอุตสาหกรรมแค่ไหน" พบว่า ตัวเลขการส่งออกของไทยที่ส่งสัญญาณ หดตัวต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน โดยมีมูลค่าการส่งออกเดือนพ.ค. 66 ที่ 24,340.9 ล้านดอลลาร์ฯ ติดลบ 4.6% จากช่วงเดียว กันของปีก่อน ขณะที่ 5 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.) มีมูลค่า 116,344.2 ล้านดอลลาร์ฯ ลดลง 5.1%
จากภาวะการส่งออกไทยที่หดตัวต่อเนื่อง ผู้บริหาร ส.อ.ท. ประเมินว่า ภาพรวมการผลิตเพื่อส่งออกสินค้าในช่วงเดือนม. ค.-พ.ค. 66 ส่วนใหญ่มีทิศทางหดตัว ถึงแม้จะมีบางอุตสาหกรรมที่ยังสามารถรักษาระดับการส่งออกไว้ได้ โดยปัจจัยสำคัญมาจากคำสั่งซื้อ สินค้าจากต่างประเทศที่ลดลง จากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา จีน และอาเซียน
นอกจากนี้ ภาวะต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูงทั้งราคาพลังงาน ค่าไฟฟ้า ราคาวัตถุดิบ/ ชิ้นส่วน และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ ปรับตัวสูงขึ้น ยังคงส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม
ดังนั้น จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งช่วยกระตุ้นการส่งออก และบรรเทาผลกระทบจากการส่งออกที่หดตัว โดยเฉพาะการออก มาตรการดูแลต้นทุนการผลิตให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้ เช่น ค่าไฟฟ้า พลังงาน ค่าโลจิสติกส์ การเร่งเจรจาความตกลงการค้า เสรี (FTA) และการส่งเสริมให้มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีใน FTA ฉบับเดิมให้มากขึ้น รวมทั้งการเพิ่มการจัดกิจกรรมส่ง เสริมการส่งออกสินค้าไปยังตลาดเป้าหมายใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น กิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) การจัดงานแสดง สินค้าทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น
สรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 30 ดังนี้
1. ยอดการส่งออกสินค้าในช่วงเดือนม.ค.-พ.ค. 66 มีทิศทางอย่างไร
อันดับที่ 1 : ทรงตัว 27.7% อันดับที่ 2 : ลดลงมากกว่า 20% 23.3% อันดับที่ 3 : ลดลง 1-10% 19.0% อันดับที่ 4 : ลดลง 11-20% 13.8% อันดับที่ 5 : เพิ่มขึ้น 1 - 10% 12.4% อันดับที่ 6 : เพิ่มขึ้น 11 - 20% 3.3% อันดับที่ 7 : เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% 0.5%
2. ตลาดประเทศคู่ค้าที่อุตสาหกรรมส่งออกสินค้ามากที่สุด
อันดับที่ 1 : เอเชีย (ไม่รวมอาเซียน) 36.2% อันดับที่ 2 : อาเซียน 27.6% อันดับที่ 3 : สหภาพยุโรป 12.4% อันดับที่ 4 : สหรัฐอเมริกา 11.4% อันดับที่ 5 : ประเทศอื่นๆ 7.6% อันดับที่ 6 : ตะวันออกกลาง 4.3% อันดับที่ 7 : ละตินอเมริกา 0.5%
3. ปัจจัยภายในเรื่องใดที่ทำให้การส่งออกสินค้าของอุตสาหกรรมหดตัว (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ภาวะต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูงทั้งราคาพลังงาน 69.5%
ค่าไฟฟ้า ราคาวัตถุดิบ/ชิ้นส่วน และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
อันดับที่ 2 : การแข่งขันระหว่างธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น 49.0% อันดับที่ 3 : ภาวะอุปทานล้นตลาด (Over Supply) และ 37.1%
สินค้าคงคลังยังอยู่ในระดับสูงทำให้หลายโรงงานต้องลดการผลิตลง
อันดับที่ 4 : ต้นทุนค่าขนส่งโลจิสติกส์ภายในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง 31.0%
4. ปัจจัยภายนอกเรื่องใดบ้างที่ทำให้การส่งออกสินค้าของอุตสาหกรรมหดตัว (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : คำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศลดลงจากภาวะเศรษฐกิจ 71.4%
ของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว
อันดับที่ 2 : สินค้าจีนทะลักเข้ามาตีตลาดในประเทศคู่ค้า เช่น 30.5%
กลุ่มประเทศอาเซียน
อันดับที่ 3 : ปัญหาวัตถุดิบ/ ชิ้นส่วน อุปกรณ์ที่ยังขาดแคลนและราคาแพง 29.5%
อันดับที่ 4 : คำสั่งซื้อจากต่างประเทศปรับตัวลดลงตามฤดูกาล (Seasonal 28.1%
5. ภาคอุตสาหกรรมต้องการให้ภาครัฐดำเนินการในเรื่องใด เพื่อช่วยกระตุ้นการส่งออก และบรรเทาผลกระทบจากการส่ง ออกที่หดตัว (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ออกมาตรการดูแลต้นทุนการผลิตให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้ 80.0%
เช่น ค่าไฟฟ้า พลังงาน ค่าโลจิสติกส์
อันดับที่ 2 : เร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) และส่งเสริมให้มีการใช้ 52.4%
สิทธิประโยชน์ทางภาษีใน FTA ฉบับเดิมให้มากขึ้น
อันดับที่ 3 : เพิ่มการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกสินค้า 41.9%
ไปยังตลาดเป้าหมายใหม่ๆ เช่น การจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching)
การจัดงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ
อันดับที่ 4 : เร่งดำเนินการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า 40.0%
กับประเทศคู่ค้า และส่งเสริมเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการไทยในการปฏิบัติตามมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTB)