ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คงมุมมองการส่งออกของไทยในปี 2566 ว่าจะหดตัวที่ระดับ 1.2% โดยประเมินว่า ภาพการชะลอตัวและความไม่แน่นอนที่มีมากขึ้นของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะส่งผลให้อุปสงค์โลกที่ชะลอลงนั้น ยังคงกดดันภาพรวมการส่งออกไทยในระยะข้างหน้า ขณะที่อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน อาจมีไม่มากเท่าที่ควร สะท้อนผ่านตัวเลขส่งออกของไทยไปจีนที่หดตัวลึกในเดือนพ.ค.66 ประกอบกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ที่อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีอยู่ และความผันผวนของค่าเงิน เป็นต้น อย่างไรก็ดี คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง การส่งออกไทยอาจกลับมาเห็นการขยายตัวได้บ้าง
สำหรับการส่งออกของไทยเดือนพ.ค.66 ยังคงถูกกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยหดตัวที่ -4.6%(YoY) นับเป็นการหดตัว 8 เดือนติดต่อกัน แต่เป็นการหดตัวในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งมีสัดส่วนถึง 78% ของการส่งออกทั้งหมด สามารถกลับมาขยายตัวได้ 1.5%(YoY) ซึ่งเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกไปยังตลาดสำคัญอย่างสหรัฐฯ และยูโรโซน กลับมาขยายตัวได้ในเดือนนี้
ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดสำคัญอื่น ๆ ยังหดตัวแต่ในอัตราที่ชะลอลง ได้แก่ ญี่ปุ่น หดตัวในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็นต้น และอาเซียนหดตัวในกลุ่มสินค้าปิโตรเลียม เช่น น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก เป็นต้น
นอกจากนี้ การส่งออกไปยังตลาดจีน ในเดือนพ.ค.66 กลับหดตัวลึกถึง -24%(YoY) โดยปัจจัยหลักมาจากการส่งออกที่ลดลงของสินค้าเกษตร ประเภทผลไม้สดและแห้ง เช่น ทุเรียน มังคุด ลำไยอบแห้ง เป็นต้น โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากผลไม้หมดฤดูกาลในแถบภาคตะวันออก จึงส่งผลให้ผลผลิตลดลง ประกอบกับการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ลดลง อาทิ เม็ดพลาสติก คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ หลังยกเลิกมาตรการควบคุมโควิดเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา จึงถูกคาดหวังว่าจะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญของภาพรวมการส่งออกไทยในปี 2566 ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอื่น ๆ แต่จากข้อมูลเชิงเศรษฐกิจที่ผ่านมา สะท้อนถึงความท้าทายของการส่งออกสินค้าไปยังตลาดจีนที่มีมากขึ้น ได้แก่
1) ปัจจัยภายในประเทศของจีน โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ไม่แรงเท่าที่คาดการณ์ และเริ่มเห็นสัญญาณการสูญเสียโมเมนตัมของในฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจากยังมีประเด็นภายในประเทศต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เช่น ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาระหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งยังคงกดดันการบริโภค และการผลิตภายในประเทศของจีน สะท้อนผ่านตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของจีนในเดือนพ.ค.66
2) ปัจจัยภายนอกประเทศของจีน โดยเศรษฐกิจจีนในฐานะผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก และนำเข้าอันดับ 2 ของโลก ก็ได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าเช่นกัน รวมถึงความขัดแย้งทางการค้าที่เกิดขึ้นกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะกระทบต่อการส่งออกสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง (High-technology) ของจีนใน 5 เดือนแรกของปี 2566 มีสัดส่วนลดลงราว 6% จากช่วงเวลาเดียวกันของ 5 ปีก่อนหน้า (ปี 2561) ซึ่งบางส่วนไทยได้อานิสงส์ส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่ม
ดังนั้น จาก 2 ปัจจัยดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการค้าระหว่างประเทศของจีนในเดือนพ.ค. 66 ให้ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลต่อเนื่องมายังแนวโน้มการส่งออกสินค้าของไทยไปยังตลาดจีนให้ได้รับอานิสงส์ไม่มากเท่าที่ควร โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ไทยเป็นผู้ส่งออกขั้นกลางในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจีนนำเข้าเพื่อไปทำการผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป และส่งต่อไปยังตลาดโลก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และยานยนต์ ผ้าและใยสังเคราะห์ เป็นต้น
ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตร จะยังคงมีบทบาทสำคัญต่อภาพรวมการส่งออกของไทยไปจีน เนื่องจากความต้องสินค้าเกษตร เช่น ผลไม้สด แช่แข็งและแห้ง เป็นต้น ยังมีอยู่ แต่ความสามารถในการส่งออกคงขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิตภายในประเทศ รวมถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่มีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้นจากระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพขึ้นจากการขนส่งผ่านรถไฟไทย-ลาว-จีน