KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่ารัฐบาลไทย จะเผชิญความท้าทายเพิ่มขึ้นในการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ จากระดับหนี้ที่ปรับสูงขึ้นมากหลังวิกฤตโควิด-19 การขาดดุลทางการคลังเชิงโครงสร้างตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีแนวโน้มจะแย่ลงจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้น และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมทั้งศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลมีการขาดดุลการคลังเชิงโครงสร้าง (structural deficit) คือ ขาดดุลมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 15 ปี ซึ่งขนาดของการขาดดุลการคลังทั้งหมด เฉลี่ยตั้งแต่ปี 2553 อยู่ที่ปีละ 2.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และทำให้ยอดหนี้สาธารณะของไทยเติบโตขึ้นทุกปีปีละประมาณ 7-8% ซึ่งปัญหาหนี้สาธารณะของไทย อาจแบ่งได้เป็น 3 ข้อ คือ
1) การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลไทยอยู่ในระดับต่ำ จากขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบ (informal economy) ที่มีขนาดใหญ่ แรงงานส่วนมากประกอบอาชีพอิสระ และอยู่นอกระบบภาษี อัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ค่อนข้างต่ำ หากเทียบกับประเทศอื่น
2) สัดส่วนรายจ่ายประจำอยู่ในระดับสูง ขณะที่งบลงทุน มีสัดส่วนเพียง 20% ของงบประมาณทั้งหมดเท่านั้น สะท้อนว่าการจัดสรรงบประมาณของไทย อาจมีส่วนช่วยเสริมศักยภาพเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวได้น้อย
3) การขาดดุลการคลังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น จากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทั้งการเก็บรายได้ภาษีของรัฐบาลที่จะลดลง โดยเฉพาะการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล และรายจ่ายของภาครัฐที่จะเพิ่มขึ้นจากรายจ่ายในหมวดสังคมสงเคราะห์
ประสบการณ์ของหลายประเทศในอดีต ชี้ให้เห็นว่าปัญหาหนี้สาธารณะที่สูง และการขาดวินัยทางการคลัง อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้ 3 ด้าน ได้แก่
1) ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายทางการคลัง (fiscal space) ลดลง ซี่งที่ผ่านมา ระดับหนี้สาธารณะของไทยไม่เคยปรับลดลงสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤตได้เลย และหากเทียบกับช่วงโควิด ที่รัฐบาลต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 20% ของ GDP ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่รัฐบาลจะไม่สามารถมีบทบาทในการพยุงเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ หากเกิดวิกฤตขึ้นอีกในอนาคต
2) ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลที่อาจปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะรัฐบาลที่มีการก่อหนี้สูง ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และไม่มีแผนการชัดเจนในการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง
3) การไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้าย การอ่อนค่าของค่าเงิน และการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ โดยเฉพาะประเทศที่มีการกู้ยืมหนี้สกุลต่างประเทศสูง และประเทศที่พึ่งพาการนำเข้ามาก
KKP Research ชี้ว่า นโยบายที่เพิ่มค่าใช้จ่าย และการขาดดุลการคลัง เช่น นโยบายการให้เงินอุดหนุน จะยิ่งสร้างต้นทุนต่อภาระทางการคลังและหนี้สาธารณะ โดยถึงแม้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น แต่จะสร้างภาระผูกพันระยะยาวให้กับรัฐ ซึ่งทำให้การปรับลดระดับหนี้สาธารณะในอนาคตทำได้ยากขึ้น
โดย KKP Research ได้คำนวณผลกระทบของการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นจากการดำเนินนโยบายสวัสดิการต่าง ๆ และนโยบายการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น พบว่าการดำเนินนโยบายรูปแบบดังกล่าว จะส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะแตะระดับเพดานหนี้ 70% ภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี ขณะที่การปฏิรูปรายรับรายจ่าย อาจช่วยลดภาระต่อหนี้สาธารณะได้บ้าง แต่ไม่ได้ช่วยให้เกิดความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาวได้
การก่อหนี้เพื่อนำไปสร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว คือ ทางออกของการสร้างความยั่งยืนทางการคลังให้เกิดขึ้น โดยถึงแม้ในระยะสั้น การก่อหนี้ดังกล่าวจะทำให้ระดับหนี้สูงขึ้นได้บ้าง แต่ในระยะยาว การลงทุนเพื่อยกระดับผลิตภาพและเพิ่มศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย จะทำให้ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ทยอยปรับลดลงตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่โตเร็วขึ้น และการจัดเก็บรายได้ของรัฐที่ควรปรับเพิ่มขึ้นตามรายได้ของคนในประเทศเช่นกัน
การจัดหารายได้เพิ่ม และตัดลบงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็นควบคู่ไปด้วย จะช่วยลดปัญหาการขาดดุลการคลังเชิงโครงสร้างของไทยที่มีแนวโน้มจะเลวร้ายลง ภายใต้ปัญหาสังคมผู้สูงอายุ โดยการลดขนาดการขาดดุลทางการคลัง ควบคู่กับการจัดสรรงบประมาณเพื่อเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว จะช่วยให้ระดับหนี้สาธารณะปรับลดลงได้เร็วขึ้น โดยประเมินว่าระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ในอีก 20 ปีข้างหน้า จะอยู่ที่ระดับ 57.4% เมื่อเทียบกับกรณีที่มีการจัดสรรงบประมาณใหม่ แต่ไม่มีการลดขนาดการขาดดุลทางการคลังเชิงโครงสร้าง ซึ่งระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP จะอยู่ที่ 65.6% หรือต่างกันเกือบ 10%
มองไปข้างหน้า รัฐบาลไทยจะเผชิญความท้าทายมากขึ้นในการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ โดยนอกจากระดับหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นหลังวิกฤตโควิด-19 และปัญหาสังคมผู้สูงอายุ ที่จะมาซ้ำเติมการขาดดุลการคลังเชิงโครงสร้างแล้ว ศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จะยิ่งทำให้ปัญหาหนี้สาธารณะของไทยเลวร้ายลงไปอีก
โดยความท้าทายทั้งหมดนี้ ล้วนตอกย้ำความสำคัญของนโยบายรัฐ ที่จะต้องมุ่งเน้นการเพิ่มการลงทุนเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว การลดการขาดดุลเชิงโครงสร้าง รวมถึงควรมีการดำเนินการอย่างทันทีและต่อเนื่อง เพราะปัญหาหนี้สาธารณะอาจมาเร็วกว่าที่คิด และการแก้ปัญหาก็อาจใช้เวลานานกว่าที่หลายคนคาดเช่นกัน