นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย (พท.) และแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี อดีตประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยในงานสัมมนา "Battle Strategy แผนฝ่าวิกฤติ" ว่า ปัจจุบันมีวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก และมีโอกาสสูงที่จะเกิดเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกยังไม่รุนแรงเท่าในอดีต เช่น วิกฤติเศรษฐกิจช่วงต้มยำกุ้ง หรือวิกฤติโควิด-19
อย่างไรก็ดี มองว่าวิกฤติทางการเมืองของประเทศไทยในขณะนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ และส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า 2 พรรคการเมืองฝั่งประชาธิปไตย ทั้งพรรคก้าวไกลและเพื่อไทย ได้คะแนนเสียงจำนวนมาก แต่จะเห็นได้ว่าในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายกรัฐมนตรี ยังคงมีปัญหา
ดังนั้น หากจัดตั้งรัฐบาลได้ช้า ก็จะส่งผลให้การจัดทำงบประมาณ ปี 67 ล่าช้าไปด้วย โดยหากได้รัฐบาลในเดือนส.ค. 66 และได้จัดทำงบฯ ในช่วงเดือน ต.ค. 66 ก็จะสามารถใช้งบได้เร็วสุดในวันที่ 15 มี.ค. 67 ซึ่งก็เป็นปัญหา
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ยังมีทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงถึง 90% การส่งออกที่ติดลบ และยังควรให้ความสนใจเรื่องภัยแล้ง ความมั่นคงทางอาหาร และปัญหาการทำวีซ่าของนักท่องเที่ยวจีนที่ล่าช้าด้วย
"ล็อกทางการเมือง ทำให้เกิดล็อกทางเศรษฐกิจ ยิ่งไทยจัดตั้งรัฐบาลได้ช้า ก็จะเป็นรองอีก 2 ประเทศในอาเซียนทั้งอินโดนีเซีย และเวียดนามได้ ตอนนี้ไทยเป็นสุญญากาศ ไม่มีใครออกไปเจรจาทางการค้าเลย ถ้าไม่มีรัฐบาล การลงทุนจากต่างประเทศไม่มาแน่นอน อย่างไรก็ดี ยังไม่เห็นการถอนการลงทุน" นายเศรษฐา กล่าว
ในส่วนของภาคธุรกิจ ขณะนี้นักลงทุนต่างประเทศอยากมาลงทุนในไทย เชื่อว่าประเทศไทยยังมีเสน่ห์และศักยภาพ แต่นักลงทุนยังชะลอการลงทุน เพื่อรอการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ส่วนเรื่องเสถียรภาพไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เนื่องจากทั้ง 2 พรรคการเมือง ก้าวไกล และเพื่อไทย มุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศ และไม่มีปัญหาระหว่างกัน
"ต้องสนับสนุนให้มีการเลือกนายกฯ ในวันที่ 13 ก.ค. ผ่านในวันแรก ถ้าไม่ผ่านก็ให้โอกาสในวันที่ 2 และ 3 ต่อ ทั้งนี้ ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยไม่แตกแถวแน่นอน สนับสนุนให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย" นายเศรษฐา กล่าว
นายเศรษฐา กล่าวว่า ส่วนคำแนะนำสำหรับนักลงทุนในช่วงนี้ คือ แนะนำให้ "Wait and See" รักษากระแสเงินสด บริหารองค์กรให้ดี และเปิดตลาดการค้าใหม่ๆ ทั้งนี้ เชื่อว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะรอไม่นาน 1-3 เดือน และจะเห็นความคืบหน้าแน่นอน
"มองย้อนไปในช่วงต้มยำกุ้ง เชื่อว่าบริษัทเอกชนมีความแข็งแกร่ง และมีภูมิคุ้มกันเพียงพอแล้ว ซึ่งการรอตั้งรัฐบาลอีกไม่กี่เดือน ไม่น่าจะกระทบ เชื่อว่าหลังจากนี้น่าจะเห็นตลาดทุนกลับมาคึกคักได้" นายเศรษฐา กล่าว