สตีเฟ่น โรช ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการเอเชียของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า ธนาคารกลางจีนควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 1% เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อและลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจีนจะเผชิญภาวะ"ฮาร์ดแลนดิ้ง"
"ธนาคารกลางจีนควรลดอัตราดอกเบี้ยและควรลดในทันที เพราะหากประวิงเวลาไว้นานกว่านี้จะส่งผลกระทบให้เกิดความวิตกกังวลมากขึ้นและทำให้เศรษฐกิจจีนเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะฮาร์ดแลนดิ้ง ดังนั้น จีนต้องพยายามควบคุมเศรษฐกิจไม่ให้ขยายตัวเกิน 9% เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ" โรชกล่าว
ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมประเภท 1 ปีของจีนยืนอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 9 ปีที่ 7.47% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากยืนอยู่ที่ระดับ 4.14% ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมี.ค.พุ่งขึ้น 8.3% ซึ่งใกล้แตะระดับสูงสุดในรอบ 11 ปี เนื่องจากราคาอาหารและพลังงานปรับตัวสูงขึ้น
เศรษฐกิจจีนขยายตัวในอัตรา 10.6% ในไตรมาสแรก ลดลงจากระดับ 11.2% จากไตรมาส 4 ปี 2550 เนื่องจากยอดส่งออกซบเซาลงซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง
"จีนจะต้องเลือกระหว่างให้ความสำคัญกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการควบคุมเงินเฟ้อ เพราะจีนไม่สามารถดำเนินดำเนินการควบคู่กันไปได้ ซึ่งเรามองว่าอัตราเงินเฟ้อของจีนที่พุ่งขึ้นมีความสำคัญมากกว่าอัตราดอกเบี้ย" โรชกล่าว
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เศรษฐกิจจีนซึ่งมีแนวโน้มแซงหน้าเยอรมนีในฐานะประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่งของโลกในปีนี้ มีอัตราการขยายตัวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ต่อปี และขยายตัวขึ้นถึง 68 เท่านับตั้งแต่จีนเริ่มปฏิรูปตลาดเสรีเมื่อปีพ.ศ.2521
ธนาคารกลางจีนยังคงตึงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมในปีนี้ หลังจากประกาศขึ้นดอกเบี้ยถึง 6 ครั้งในปี 2550 โดยเป้าหมายในการตรึงดอกเบี้ยก็เพราะต้องการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินหยวน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--