นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า มุมมองเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ยังมีศักยภาพในการขยายตัวได้ในระดับ 3-4%
"ความไม่แน่นอนเรื่องรัฐบาล ใครจะมา มาเมื่อไร จะไม่กระทบภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ให้เปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะในประมาณการ ธปท. ได้รวมสมมติฐานไปหมดแล้ว คาดว่างบประมาณจะล่าช้าไป 1 ไตรมาส แต่ข้อเท็จจริง กระบวนการยังเป็นไปตามปกติ งบประจำยังเบิกจ่ายใช้ โดยไตรมาส 4/66-ไตรมาส 1/67 ที่หายไปจริง ๆ คือ งบลงทุน แต่ก็ไม่ได้มีสัดส่วนมาก คงไม่กระทบปีนี้ แต่จะไปกระทบปี 2567" ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวได้ 4.2% ดีกว่าครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 2.9% มีแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคเติบโตดี หัวใจสำคัญ คือ ภาคการท่องเที่ยว ปีนี้คาดว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 29 ล้านคน ส่วนกรณีที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน ที่ออกมาไม่ค่อยดี ทำให้คาดว่าการส่งออกของไทย ทั้งปีคือแทบจะไม่เติบโต
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อปีนี้ ธปท.ยอมรับว่าต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (พ.ค., มิ.ย.) จากราคาอาหาร และราคาพลังงานโลกที่ปรับลดลง แต่ก็เป็นปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นคาดว่าทิศทางเงินเฟ้อจะค่อยๆ กลับขึ้นมา จากปัจจัย 1. การท่องเที่ยวฟื้นกลับมา โดยเฉพาะในภาคบริการ และ 2.การใช้กำลังการผลิตใช้มากขึ้น โอกาสส่งผ่านต้นทุนของภาคธุรกิจก็จะเพิ่มขึ้น
ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า จากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับลดลงกว่าที่คาด แต่มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นในระยะต่อไปนั้น ส่งผลให้ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน เพราะมุมมองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มเงินเฟ้อยังเป็นไปตามที่ ธปท.คาดไว้ ดังนั้นยังมีความจำเป็นต้องทำนโยบายการเงินให้กลับสู่ภาวะปกติ แบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งไม่ได้พิจารณาแค่ปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อเท่านั้น แต่ต้องดูปัจจัยระยะยาวให้กลับสู่สภาวะปกติ หาจุดที่เหมาะสม สร้างความสมดุลของดอกเบี้ยให้เหมาะกับเศรษฐกิจ และขยายตัวได้ตามศักยภาพ
"เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย 1-3% และไม่ได้สร้างปัญหาเสถียรภาพการเงิน ไม่ใช่การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อจัดการเงินเฟ้อ ตอนนี้ ความจำเป็นที่จะต้องหยุดการทำนโยบายการเงินกลับสู่ภาวะปกตินั้น ยังไม่เห็น เราไม่อยากให้ตลาดเข้าใจว่าเงินเฟ้อลงแล้ว เหมาะที่จะหยุดขึ้นดอกเบี้ย แต่เงินเฟ้อที่ลง เป็นเรื่องชั่วคราว และมีโอกาสกลับขึ้นมา เราอยากเห็นเงินเฟ้อเข้าสู่กรอบอย่างยั่งยืน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายแท้จริงติดลบ ถ้านาน ก็มีผลต่อพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนของนักลงทุน (Search for Yield) มีความเสี่ยงในการลงทุน พฤติกรรมการออม การกู้ เป็นปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงให้ดอกเบี้ยกลับมาสมดุล" ผู้ว่าฯ ธปท.กล่าว
สำหรับการทำนโยบายรัฐบาล ควรมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างเสถียรภาพ มากกว่าการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าดูตัวเลขการบริโภคเอกชนครึ่งปีแรก ยังขยายตัวได้ 5% การกระตุ้นการบริโภคจึงอาจจะยังไม่จำเป็น ขณะที่การท่องเที่ยวก็เริ่มฟื้นกลับมา ดังนั้นควรมุ่งนโยบายในการสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจ พร้อมเห็นว่า สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วง คือ หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูงที่ 90% ของจีดีพี ขณะที่หนี้สาธารณะอยู่ที่ 60% ต้น ๆ ของจีดีพี
"ถ้าอยากให้เศรษฐกิจโต ใช้วิธีไหนก็ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทั้งนั้น ซึ่งการกู้เงิน ถ้าเป็นครัวเรือน การกู้ก็เป็นการบริโภค ถ้าเป็นรัฐบาลกู้ ก็เป็นการใช้ในนโยบายรัฐ และการลงทุน แต่ถ้าเอกชนกู้มา ก็จะเป็นการกู้เพื่อการลงทุน คิดว่าอยากได้แบบไหน...จริง ๆ ที่เศรษฐกิจไทยขาดมากที่สุด คือ การลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งไม่ใช่ช่วยแค่กระตุ้นเศรษฐกิจเท่านั้น" ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าว